• SCGP: ประเด็นสำคัญจากการประชุม Jefferies Asia Forum ครั้งที่ 5

เรายินดีต้อนรับ SCGP สู่การประชุม Jefferies 5th Asia Forum ในฮ่องกง ซึ่งทีมผู้บริหารได้ให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจ โดยเน้นไปที่การดำเนินงานของบริษัทในอินโดนีเซียเป็นพิเศษ
• การฟื้นตัวของ EBITDA ในอินโดนีเซีย : การดำเนินงานของ SCGP ในอินโดนีเซียแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยราคาไต่ขึ้นถึงประมาณ 10% เหนือระดับต่ำสุด อุปสงค์ทั้งในประเทศและการส่งออกกลับมาสู่ระดับปกติแล้ว ส่งผลให้ EBITDA จากการดำเนินงานของ SCGP ในอินโดนีเซียกลับเข้าสู่ขอบเขตการทำกำไรอีกครั้งในช่วงเดือนมกราคม-ก.พ. ในปี 2024F และบริษัทคาดว่าจะมีกำไรเป็นบวกตั้งแต่ 2H24F เป็นต้นไป
• ความร่วมมือกับ Fajar : ปัจจุบัน SCGP กำลังสำรวจช่องทางต่างๆ สำหรับโครงการ Fajar รวมถึงความเป็นไปได้ในการนำพาร์ทเนอร์ใหม่เข้ามาด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารยอมรับว่าการเจรจาใดๆ ไม่น่าจะสรุปได้ภายในกลางปี 2024 เมื่อพาร์ทเนอร์ปัจจุบันสามารถใช้ทางเลือกในการขายหุ้น 45% ของตน (ขายให้กับ SCGP)
• การขยายและการบูรณาการในอินโดนีเซีย : SCGP วางแผนที่จะสรุปการเข้าซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษ ขั้นปลาย แห่งในอินโดนีเซียในปี 2024 อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อบูรณาการการดำเนินงานในประเทศต่อไป ลดความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ขั้นต้น
• ผลกระทบของอัตราค่าระวางที่สูงขึ้น : SCGP ดูเหมือนจะสามารถจัดการผลกระทบด้านลบของอัตราค่าระวางที่เพิ่มขึ้นได้ บริษัทมีทางเลือกในการลดอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้นในเส้นทางยุโรป-เอเชียด้วยการจัดหากระดาษรีไซเคิลจากภูมิภาคอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น โอเชียเนีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลกระทบจากอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้นมีน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระบุว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของกระดาษรีไซเคิลนำเข้าเกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีนมากกว่าค่าขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดำเนินการบรรจุภัณฑ์สำหรับบริการอาหารซึ่งส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังยุโรปผ่าน Go-Pak เป็นเพียงธุรกิจเดียวที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากอัตราค่าระวางเรือที่สูงขึ้น
• เราคงคำแนะนำ "ถือ" สำหรับ SCGP โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 39.00 บาท ซึ่งความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจและความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ