Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : TU ดึงกลุ่มไทยเบฟฯ ลุยธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มสุขภาพ

2,843

HotNews : TU  ดึงกลุ่มไทยเบฟฯ  ลุยธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มสุขภาพ

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (6 ตุลาคม 2563) TU ดึงกลุ่มไทยเบฟฯ ร่วมทุนตั้งกิจการร่วมค้า " ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด" พัฒนาสินค้า ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ภายใต้แบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าของฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด

 

 

นายธีรพงศ์ จันศิริ กรรมการ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) TU เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 100 ในกิจการร่วมค้า “บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจยูไนเต็ด จำกัด” ทั้งนี้บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด เป็นบริษัทจัดตั้งขึ้นใหม่ภายใต้กฎหมายไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการร่วมลงทุนกับบริษัท เบฟเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบมจ. ไทยเบฟเวอเรจ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 


บริษัทโดยคณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการของบริษัท ได้อนุมัติให้บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ลงทุนในการจัดตั้งบริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด มีรายละเอียดดังนี้

 

ชื่อบริษัท : บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำด

วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัท : เพื่อร่วมลงทุนและร่วมมือในการพัฒนาสินค้า ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ภายใต้แบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าของบริษัทฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด

ที่อยู่ :บริษัท 57 อาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ชั้นที่ 20 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

วันที่จดทะเบียนจัดตั้ง : ตุลาคม 2563

ประเภทธุรกิจ : ผลิตและจัดจำหน่าย

ทุนจดทะเบียนบริษัท : 10,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 1,000,000 หุ้น

มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ : 10 บาท

 

 

โครงสร้างผู้ถือหุ้น 1. บริษัท เบฟเทค จำกัด ถือหุ้นจำนวน 509,999 หุ้น หรือร้อยละ 50.9999 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 2. บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 490,000 หุ้น หรือร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด3. บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 1 หุ้น หรือร้อยละ 0.0001 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด


คณะกรรมการบริษัท 1. นายปราโมทย์ พรประภา (กรรมการอิสระ) , 2. นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ,3. นายธีรพงศ์ จันศิริ ,4. ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ และ 5. นายดนัย ครามโกมุท


ทั้งนี้คณะกรรมการบริหารมีความเห็นว่าการลงทุนในบริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น เป็นการทำรายการที่มีความเหมาะสมและก่อให้เกิดประโยชน์แก่บริษัท โดยเป็นการเพิ่มรายได้และกำไรให้กับกลุ่มบริษัทต่อไป

 

 

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า TU กำไร 3Q63 คาดว่าจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ซึ่งดีกว่าที่เราเคยประเมินไว้ เนื่องจาก Ambient seafood ยังขายดี ขณะที่ Frozen seafood ฟื้นตัว รวมทั้ง Red Lobster มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ เราจึงปรับประมาณการกำไรขึ้นสะท้อนถึงยอดขายและอัตรากำไรสูงกว่าคาด พร้อมทั้งปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปีหน้า (PER 13 เท่า) เท่ากับ 16.50 บาท และปรับคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ

 

 


แม้ยอดขายอาหารทะลแปรรูป (Ambient seafood) ชะลอการเติบโตลงจาก 16.8% YoY ใน 2Q63 แต่ยังคงเติบโตมากกว่า 10% YoY ใน 3Q63 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ขณะที่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ง (Frozen seafood) ฟื้นตัวดีขึ้นหลังการคลายล็อกดาวน์ทำให้ Demand ฟื้นตัวจากการที่ร้านอาหารกลับมาเปิด โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งยอดขายกลับมาเกือบปกติแล้ว ส่วนในไทยยังลดลง YoY นอกจากนั้น ราคาเฉลี่ยปลาทูน่าใน 3Q63 เพิ่มขึ้น 18% QoQ และ 23% YoY เป็น 1,500 เหรียญ/ตัน ซึ่งมีส่วนทำให้คาดว่ายอดขายรวมเพิ่มขึ้น 2% QoQ และ 6% YoY เป็น 33,695 ล้านบาท

 

 

คาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 147 bps YoY เป็น 17.4% เนื่องจาก Ambient seafood ซึ่งมีอัตรากำไรสูง ยังคงขายดีต่อเนื่อง อีกทั้ง Frozen seafood มีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น ส่วน Red Lobster คาดว่าขาดทุนลดลงอย่างมีนัยยะ QoQ (แต่ขาดทุนมากขึ้น YoY) เนื่องจากร้านกลับมาเปิด มีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยปรับเมนูอาหารและลดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าโฆษณาและค่าเช่าร้าน เราประเมินกำไร 3Q63 เท่ากับ 1,801 ล้านบาท เติบโต 18% QoQ และ 32% YoY

 

 


จากแนวโน้มยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น 3Q63 ดีกว่าคาด รวมทั้งการปรับโครงสร้างธุรกิจของ Red Lobster ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลประกอบการขาดทุนลดลงต่อเนื่อง เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2563-2564 ขึ้น 32% และ 19% ตามลำดับ นอกจากนั้น คาดว่า TU มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ คาดว่าอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 4%

 

 


ความเสี่ยง: ผลประกอบการ Red Lobster ขาดทุนต่อเนื่อง ราคาปลาทูน่าผันผวน เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยยะ ต้นทุนวัตถุดิบสูง ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายเพิ่มขึ้น

 

 

บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไร 3Q63 โตสูงทั้ง QoQ และ YoYคาดรายได้ที่ 34,863 ลบ. (+5.5% QoQ, +9.5% YoY) โดยรายได้จากธุรกิจอาหารกระป๋อง (Ambient seafood) ยังเติบโต 14-15% YoY เพราะราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวขึ้นทำให้ราคาขาย OEM สูงขึ้น ขณะที่รายได้จากอาหารแช่เย็นแช่แข็งยังหดตัว YoY แต่ชะลอลงเหลือต่ำกว่า 10% YoY จากที่ -14% YoY ใน 2Q63 จากการกลับมาเปิดให้บริการของร้านอาหาร และ Food service อื่น

 

 

แต่รายได้จากอาหารแช่เย็นแช่แข็งที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอาจจชะลอลงจาก 18.2% ใน 2Q63 เป็น 17.8% แต่ยังสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับ 15.9% ใน 3Q62 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารมีการทำการตลาดเพิ่มขึ้นในช่วง High season เพื่อสร้าง Awareness ทำให้ SG&A เพิ่มขึ้น 6.4% QoQ และ 11.0% YoY ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง QoQ เล็กน้อยทำให้อาจมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 35 ลบ. จากผลของการทำ Hedging ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมคาดที่ 150 ลบ. ลดลงจากที่ขาดทุน 579 ลบ. ใน 2Q63 จากรายได้ของ Red lobster ที่ฟื้นตัว QoQ แต่ยังหดตัวราว 30% YoY แต่บริษัทก็มีการลดค่าใช้จ่ายลงราว 20 30% YoY เช่นกัน ส่วน Avanti feed (อินเดีย) กำไรฟื้นตัวทำให้โดยรวมส่วนแบ่งขาดทุนจึงลดลงมีนัยสำคัญ QoQ คาดกำไรปกติ 3Q63 ของ TU ที่ 1,904 ลบ. (+24.9% QoQ, +39.1% YoY)

 

 

 

คงประมาณการรายได้ปี 2563 ไว้ที่ 1.30 แสนลบ. และปรับรายได้ปี 2564 ลง 2% เป็น 1.29 แสนลบ. ทรงตัว YoY ปรับประมาณการ GPM 2563 2564 ขึ้นเป็น 17.8% จาก 15.8% และเป็น 17.5% จาก 16.2% ตามลำดับ เราคาดว่าปี 2564 ปริมาณขาย Ambient seafood อาจเติบโตได้ยากเนื่องจากมีฐานที่สูงในปี 2563 ขณะที่อาหารแช่เย็นแข่แข็งอาจมีการเติบโตได้จากฐานที่ต่ำ ทำให้สัดส่วนรายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นซึ่งมี GPM ต่ำกว่า Ambient seafood รวมถึงต้นทุนสต๊อกปลาทูน่าเริ่มมีต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ GPM ปี 2564 อาจชะลอลงจากปี 2563 เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2563 เพิ่มขึ้น 64% เป็น 6,107 ลบ. (+25% YoY) และปรับประมาณการกำไรปกติปี 2564 เพิ่มขึ้นจากเดิม 29% เป็น 5,963 ลบ.

 

 

 


บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดกำไร 3Q63 TU ที่ 1,809 ลบ. ยังโต y-y, q-q: แนวโน้มการดำเนินงาน 3Q63 ยังดีต่อเนื่อง แม้คาด margin อ่อนลง q-q จากสัดส่วนยอดขายกลุ่ม Frozen มากขึ้น แต่ margin กลุ่ม Ambient ที่ยังดีทำให้ margin ไม่อ่อนลงมากคาดที่ 17.9%ขณะที่ยอดขายคาด +8% y-y +4% q-q ที่ 34,435 ลบ. เพิ่มจากราคาขายเฉลี่ยทูน่าเพิ่ม, การขายที่ดีทั้งทูน่าและกุ้ง แต่คาดค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นจากยอดขายเพิ่มและมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดมากขึ้น ขณะที่การรับรู้ส่วนแบ่งจากบ. ร่วม Avanti ยังดีต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ RL แม้ยอดขายจะ -30% y-y แต่การลดค่าใช้จ่ายทั้ง ค่าเช่าและพนักงานลง 30% ทำให้การดำเนินงานฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้มากเช่นกัน อีกทั้งจากการดำเนินงานของ RL ที่ยังขาดทุนอยู่ทำให้อัตราภาษีจ่ายยังไม่เพิ่มขึ้นมาก แต่คาดว่าอาจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งค่า คาดกำไรปกติจะ +37% y-y +24% q-q

 

 

คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 18 บาท: ทางฝ่ายมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อการฟื้นตัวทั้งจากการดำเนินธุรกิจของบริษัท รวมถึงการฟื้นตัวของ RL ที่กลับมาดีกว่าที่คาดไว้มาก โดยทางฝ่ายมีแนวโน้มจะปรับประมาณการขึ้นจากเดิม อีกทั้งราคาหุ้นซื้อขายบน P/E เพียง 11 เท่า หมายเหตุ: กำไร = ล้านบาท, EPS = บาท

 

 

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า TU คาดกำไรปกติ 3Q20 +29% Q-Q, +44% Y-Y จากธุรกิจกระป๋องที่ดีและอาหารแช่แข็งที่ฟื้นตัวตามการ Reopen และส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster ที่คาดลดลงอย่างมีนัยยะหลังกลับมาเปิดสาขาและขอลดค่าเช่า แนวโน้มกำไร 4Q20 คาดอ่อนตัว Q-Q จากปัจจัยฤดูกาล แต่คาดได้ประโยชน์จากราคาปลาทูน่าที่ปรับลงเช่นกัน เรายังคาดกำไรปี 2020-2021 โตเฉลี่ย 10% ต่อปี คงราคาเป้าหมาย 18 บาท แนะนำ ซื้อ

 

 

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 18 บาท/หุ้น มีมุมมองเป็นบวก คาดรับผลดีจากการเก็บสำรองอาหารกระป๋อง เรามีมุมมองเป็นบวก โดยสาเหตุหลักมาจากโควิดระบาดรอบ2ที่ยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้แนวโน้มการมียอดขายจากสินค้ากลุ่ม brand อาหารกระป๋องแปรรูปที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น โดยได้ประโยชน์จากความต้องการอาหารกระป๋อง ambient seafood เพื่อสำรองอาหารสำหรับการกักตัวและ social distancing ในช่วงที่ COVID-19 มีความรุนแรง  อีกทั้งราคาต้นทุนปลาทูน่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมและผันผวนน้อยทำให้สามารถบริหารการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย TU มีexposure ยอดขายในตลาดสหรัฐ 40% และ EU 30% ของทั้งหมด ทั้งนี้เราคงกำไรสุทธิในปี 2020E ที่ 5.4 พันล้านบาท (+44% YoY)

 

 


คงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ ซื้อ TU ราคาเป้าหมายที่ 18.00 บาท อิง 2020E PER ที่ 16x (เทียบเท่า -1SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ตามตัวเลข By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม นั่งเล่นในดงกล้วย มองดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของบ้านเราที่ประกาศออกมา ทั้งตัวเลขส่งออกเดือนมี.ค.ที่หดตัวเป็น...

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้