สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(17 กุมภาพันธ์ 2565)-----"ธรณ์ ประจักษ์ธรรม " บิ๊ก TOG ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 8-10% ในปี 2565 จากศูนย์กระจายสินค้า “TOG USA” และ “TOG EUROPE” กระตุ้นยอดขายในตลาดเลนส์สายตาทุกภูมิภาค หลังจากสภาวะเศรษฐกิจโลกทยอยฟื้นตัวเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจเลนส์ ขณะที่รายงานกำไรปี64 พุ่งแตะ 310 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน351% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ขายที่และการลดต้นทุนของสินค้า

 
นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG เปิดเผยผลการดำเนินการของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 2,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30 โดยผลกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 351 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ขายที่และการลดต้นทุนของสินค้า

TOG คาดการณ์อุปสงค์การใช้เลนส์เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ยอดขายเติบโต 8-10% ในปี 2565 เตรียมพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าธุรกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในทุกภูมิภาค รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้ TOG เร่งการผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย เพื่อเตรียมแผนรับมือต่อสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ในอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และบริษัทฯ ยังคงรักษามาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยที่ดีของพนักงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งมุ่งมั่นที่จะจัดหาวิถีการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อช่วยให้ธุรกิจมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต

ศูนย์กระจายสินค้าของ TOG ได้แก่ TOG USA และ TOG EUROPE เตรียมความพร้อมอย่างดีเพื่อรองรับลูกค้าธุรกิจที่มีศักยภาพ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เลนส์ใหม่ที่หลากหลาย รวมทั้งเลนส์ Trivex, Tribrid, Bluloc และ Transitions เพื่อช่วยให้ลูกค้าธุรกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในสภาวะตลาดที่ไม่ความแน่นอน

นอกจากนี้ TOG ยังได้ปรับเปลี่ยนค่านิยมหลักขององค์กรและสนับสนุนให้พนักงานทุกคน "พูดแล้วทำ" อย่างจริงจัง โดยนำค่านิยมเหล่านี้ไปใช้กับกิจกรรมและการดำเนินงานในแต่ละวัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาความเป็นเลิศด้านการให้บริการและการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว

ที่ TOG “เรารังสรรค์ มุมมองที่ดีกว่า” โดยยึดมั่นในค่านิยมหลักขององค์กรแต่ละประการ ดังนี้
CRAFT; WE CRAFT BETTER VISION SOLUTIONS
C: Can do เราทำได้
R: Right first time เป๊ะ ตั้งแต่แรก
A: Accountable สำนึกรับผิดชอบร่วมกัน
A: Adaptable พร้อมปรับตัว
F: Fun ทำงานอย่างสนุก
T: Teamwork together สร้างประโยชน์สูงสุดร่วมกัน

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ระบุถึง ภาพรวมเศรษฐกิจโลก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายจากการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศ นำไปสู่การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์จากต่างประเทศในช่วงปลายปี 2021 อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาการระบาดของโควิด-19สายพันธุ์ โอมิครอนและการกลายพันธุ์ของไวรัสซึ่งอาจส่งผลให้เศรยฐกิจชะลอตัวลงได้ สังเกตได้จากก่อนการระบาดของโอมิครอนนั้นเสรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ปี 2021 ส่งสัญญานฟื้นตัวที่สูงขึ้น โดยสะท้อนจากยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมหลังชะลอตัวลงในไตรมาส 3 จากกรแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ดลตา และในบางประเทศระดับการบริ โภคและระดับการผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวกกับไปอยู่ระดับสูงกว่า Pre-pandemic level แล้ว อันเป็นผลจากอัตราการฉีดวักซีนที่สูงกว่าและสามารถเปิดเมืองได้เร็วกว่าประเทศอื่น ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ละประเทศแต่ละกูมิภากจะมีความแตกต่างกันไป ตามความพร้อมในการรับมือการระบาด อาทิ ความสามารถในการแจกจ่ายวัคซีน รวมถึงขีดจำกัดของระบบสาธารณะสุข และการเลือกใช้น โยบายควบคุมการระบาดของรัฐบาล หลายประเทศสามารถควบกุมการแพร่ระบาคได้ดีขึ้น เพราะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นทั่วโลก โดยฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed markets) อาทิ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ที่มีความสามารถในการแจกจ่ายวัคซีนที่ก้าวหน้าไปมาก (สัดส่วนของผู้ได้รับวัคซีนครบโดสเกิน 65%) และจากการเร่งแจกจ่ายวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster shots) จะส่งผลให้สามารถผ่านพ้นปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของโอมิครอนได้โดยที่ผลกระทต่เศรษฐกิจมีไม่มากนัก ในขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging markets) อาจมีการชะลอตัวของเศรยฐกิจและ ได้รับผลกระทบจากปัญหาการระบาดของโอมิครอนมากกว่า จากการแจกจ่ายวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรน้อยกว่า (สัดส่วนของผู้ได้รับวัคซีนครบโดสน้อยกว่า 50%) สำหรับปัญหาห่วงโซ่อุปทานภาวะชะงักงัน (Supply chain disruption) ทั้งในภาคผลิต ภาคบริการและตลาดแรงงาน มีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้เดิม ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งอาจปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความกังวลต่อการติดเชื้อไรัสสายพันธุ์ใหม่อาจเพิ่มแรงกดดันต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่อยู่ในภาวะตึงตัวอยู่แล้วในปัจจุบันส่งผลให้ค่าจ้างแรงานอาจอยู่ในระดับสูงขึ้น ระดับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินและส่งผลต่อเนื่องไปยังภาวะตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงความไม่แน่นอนในเรื่องของน โยบายการเงินของธนาคารกลางของประเทศสหรั ฐอเมริกา (FED) ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศเอง อาจทำให้เกิดความผันผวนต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศได้

แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้คนทั่วโลกเริ่มปรับตัวกับการใช้ชีวิตให้เข้ากับวิถีNew normal ได้มากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลทั่วโลกพยายามหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดเหมือนช่วงการแพร่ ระบาดในระลอกที่ผ่าน ๆ มา แต่สถานการณ์แพร่ ระบาดจะยังมีผลกระทบต่อต้นทุนของกิจกรรมภาคธุรกิจเช่น ค่าใช้จ่ายในการตรวจกัดกรองและฝ้าระวังเชื้อไวรัสโควิด-19 ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับ โครงสร้างและรูปแบบกิจกรรมของธุรกิจ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาหรือจัดเตรียมที่พักตลอดจนการเดินทางของพนักงานค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานผ่านระบบทางไกล เป็นต้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้ โดยฝ่ายบริหาร ของกลุ่มบริษัท ได้ติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและจะประเมินผลกระทบทางการเงินเกี่ยวกับมูลค่าของสินทรัพย์ ประมาณการหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นและจะพิจารณาบันทึกผลกระทบดังกล่าวต่อไป

---จบ---