HotNews : TSE กางแผนรุก โซลาร์ในไต้หวัน

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (22 เมษายน 2562) TSE คาดรายได้ปี 62 โตกว่าปีก่อน หลังรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าชีวมวล เต็มปี - ลุย COD โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น แห่งที่ 7 แย้มซุ่มเจรจาพันธมิตรท้องถิ่น ลงทุนโรงไฟฟ้าในไต้หวัน เล็งโซลาร์ ตั้งเป้า PPA 50-100 MW ภายใน 3 ปี พร้อมอยู่ระหว่างเจรจาซื้อ โรงไฟฟ้าชีวมวล 10 MW คาดได้ข้อสรุปภายในครึ่งปีแรกปี 62 ระบุโรงโซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น แห่งที่ 8 ขนาด 154.98 MW ลุย COD ได้ในปี 65 ดันกำลังการผลิตรวมพุ่ง กว่า 300 MW ขณะที่ อยู่ระหว่างเจรจาขายโรงไฟฟ้าโซลาร์เทอร์มอล ขนาด 4.5 MW หลังไม่สร้างรายได้ คาดชัดเจนภายในปี 62 เตรียมออกหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 3 พันลบ. ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม ภายในปีนี้

 

 

นางสาวแคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่ารายได้รวมในปี 2562 มีแนวโน้มเติบโตกว่าปี 2561 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,328 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯได้มีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล (Biomass) ทั้ง 3 แห่ง

 

 

ซึ่งได้มีการดำเนินการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์เข้าระบบ (COD) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เข้ามาเต็มปี ประกอบกับเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการ COD โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม "Hanamizuki" ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าแห่งที่ 7 ในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมือง Ishikawa กำลังการผลิต 13.5 MW อีกทั้งบริษัทฯได้เข้าลงทุนในบริษัท บีเอส บางไทร โซลาร์ จำกัด (BSS) ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิต 5 MW ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้มีการ COD ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2559 และมีอายุสัมปทานอยู่ที่ 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้มีการ COD

 

 

ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มแห่งที่ 8 ในประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 154.98 MW มูลค่าโครงการรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2563 ใช้ระยะเวลาประมาณ 2-2.5 ปี และคาดว่าจะสามารถ COD ได้ภายในปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ COD แล้วทั้งหมดรวม 300.42 MW

 

 

"ปีนี้ถือเป็นปีที่เคลียร์ และเป็นปีที่ดี รายได้มีแนวโน้มโตกว่าปีก่อน เพราะว่าเรามีการรับรู้รายได้เต็มปีจาก โรงไฟฟ้าไบโอเเมส ทั้ง 3 แห่งเข้ามาเต็มปี และมีการ COD โซลาร์ที่ญี่ปุ่นเพิ่ม ส่วนกำไรก็มีแนวโน้มดีกว่า ปี61 ที่ถ้าหากว่าไม่นับตัดกำไรค่าเสื่อมจากโรงไฟฟ้าเทอมอลก็จะอยู่ที่ 546 ล้านบาท แต่พอตัดกำไรก็จะเหลืออยู่ที่ 173.95 ล้านบาท" นางสาวแคทรีน กล่าว

 

 

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ในระบบรวมแสง หรือ โรงไฟฟ้าโซลาร์เทอร์มอล ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯได้มาจากการรวมกิจการในอดีต ขนาดกำลังการผลิต 4.5 MW โดยในปัจจุบันเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่สามารถดำเนินงานได้ และเป็นภาระของบริษัทฯ ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการบันทึกด้อยค่าโรงไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 296 ล้านบาทรวมกับรายการภาษีรอตัดจ่าย 76 ล้านบาท รวมเป็น 372 ล้านบาทในครั้งเดียว

 

 

เพื่อที่จะทำให้ในผลการดำเนินงานปีถัดไปบริษัทจะได้ไม่มีภาระกังกล่าว และปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัททางด้านวิศวกรรมแห่งหนึ่ง เพื่อขายโรงไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งในส่วนของที่ดิน อาคาร เครื่องจักรขนาดใหญ่ มูลค่าตามการประเมินประมาณ 215-220 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถมีความชัดเจนภายในปี 2562

 

 

ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม ที่ประเทศไต้หวัน เนื่องจากเป็นประเทศที่รัฐบาลมีนโยบายทางด้านพลังงานทดแทนที่ชัดเจน และสถานะทางการเงินมีความแข็งแกร่ง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 2562 โดยบริษัทฯคาดว่าจะเริ่มต้นเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็กก่อน เพื่อศึกษา เรียนรู้และทำความเข้าใจการทำธุรกิจในไต้หวัน และได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะลงทุนให้ได้ 50-100 MW ภายใน 1-3 ปีนี้ ขณะที่บริษัทฯได้มีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศเวียดนามด้วยเช่นกัน แต่จะต้องรอดูว่าพันธมิตรที่จะเข้าไปร่วมสามารถที่จะเชื่อมต่อกริดตามข้อกำหนดของรัฐบาลเวียดนามได้ทันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจา

 

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ประมาณ 3 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตรวมกันประมาณ 10 MW คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ และบริษัทฯก็มีการเจรจาที่จะซื้อกิจการโซลาร์ฟาร์มขนาดเล็กเพิ่ม ขนาดกำลังการผลิตรวม 10 MW เช่นกัน โดยบริษัทฯได้มีการวางงบลงทุนในปีนี้ ไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อและสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อขยายกิจการของบริษัทให้มีการเติบโตต่อเนื่อง

 

 

ขณะที่บริษัทฯมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะหมดอายุ โดยแบ่งเป็น 2 ชุด ได้แก่ ชุดแรก มูลค่าประมาณ 2,050 ล้านบาท ในเดือนตุลาคม 2562 และชุดที่ 2 มูลค่าประมาณ 950 ล้านบาท ในเดือนเมษายน 2563

 

 

TSE