ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
มุมมองที่มีต่อสินทรัพย์ต่างๆหลังการเลือกตั้งสหรัฐ
Key Takeaways:
ปฏิกิริยาตลาดระยะสั้นมองว่าทรัมป์จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นผ่านนโยบายลดภาษีเงินได้ แต่กดดันตลาดพันธบัตรจากความกังวลเงินเฟ้อผ่านนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า
บริบทเศรษฐกิจปี 2025 ต่างจากปี 2017 มาก เพราะกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ทำให้จำเป็นต้องระมัดระวังการเปรียบเทียบผลบวกต่อตลาดหุ้นแบบตรงไปตรงมาของสองเหตุการณ์ดังกล่าว
เราคาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วง "confusion phase" ที่ผันผวนสูง จากการปะทะกันระหว่างความหวังด้านนโยบายภาษีกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่อาจแย่กว่าที่ตลาดคาด
รายละเอียด:
Market Reaction หลังการเลือกตั้ง:
ในคืนผ่านมา ตลาดการเงินได้แสดงปฏิกิริยาต่อการที่ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มองภาพอย่างตรงไปตรงมา (Simple & Straightforward) ว่า เหตุการณ์นี้จะนำมาซึ่งการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2017 ด้วยความคาดหวังต่อนโยบายการลดภาษีเงินได้
ในขณะเดียวกัน ตลาดพันธบัตรก็เผชิญกับแรงเทขายจากการตีความว่านโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.48% อย่างไรก็ตาม แรงซื้อที่กลับเข้ามาในช่วงท้ายได้ดันให้อัตราผลตอบแทนปิดที่ระดับ 4.35% ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของเราที่แนะนำให้ใช้ระดับ 4.4% เป็นจุดเข้าซื้อ
ความซับซ้อนของตลาดการเงินและเศรษฐกิจ:
อย่างไรก็ตาม การตีความอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้อาจเป็นเพียง "false move" เนื่องจากในโลกของการลงทุนและเศรษฐกิจนั้น ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ มักมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลากหลายมิติ ทำให้ไม่สามารถประเมินผลลัพธ์ได้ง่ายเหมือนการบวกลบเลขธรรมดา
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเปรียบเทียบกับปี 2017 ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งนั้น เกิดขึ้นในบริบทที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวในปี 2016 และยังไม่มีการประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า แต่สถานการณ์ในปี 2025 กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่วงจรชะลอตัว อีกทั้งนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าที่อาจเกิดขึ้นก็จะยิ่งกดดันการค้าโลกให้ชะลอตัวลงไปอีก ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ภาพรวมเป็นลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ
ด้วยความซับซ้อนเหล่านี้ เราจึงคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ช่วง "confusion phase" ที่จะเต็มไปด้วยความผันผวนรุนแรงคล้ายกับปี 2018 (ปีดังกล่าว ดัชนี S&P500 มี drawdown อยู่ในช่วงประมาณ -6% ถึง -20% โดยสวิงแบบนี้ถึง 5 รอบ) เนื่องจากการปะทะกันระหว่างความคาดหวังเชิงบวกจากนโยบายการลดภาษีเงินได้กับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่อาจแย่กว่าที่คาด นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในยุคของทรัมป์ ก็จะค่อยๆ เข้ามากลบความหวังด้านบวกข้างต้น
ในส่วนของตลาดพันธบัตร เราคาดว่าจะเห็นการเคลื่อนไหวในสองช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยในครึ่งแรกของปี 2025 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะ mild recession ขณะที่เงินเฟ้อจะยังคงชะลอตัวลงจากการปรับตัวลดลงของหมวด Shelter และการบริโภคที่อ่อนแอ ปัจจัยเหล่านี้จะหนุนให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดพันธบัตร ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี มีโอกาสปรับตัวลงสู่ระดับ 3.0% ซึ่งจะเป็นจุดต่ำสุดของวงจรการลดดอกเบี้ยนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังของปี 2025 ผลกระทบจากนโยบายการค้าและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจะเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง สถานการณ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้จึงทำให้นักลงทุนอาจต้องเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงและความสับสนที่จะมีมากขึ้น
สรุปภาพตลาดวานนี้
DELTA แรงเดียว แบกไม่ไหว หลังเจอแรงขาย Trump Effect โดนแรงขายออกมาเกือบครึ่งทางช่วงเย็น แม้ว่าระหว่างวันจะพยายามพยุงตลาดจาก แรงขายหุ้นใหญ่อื่นๆ แทบทุกกลุ่ม GULF-INTUCH-ADVANC AOT PTTEP CPALL-CPAXT SCC BH และยังพบ Panic Sell ลงมาในหุ้นบางตัวอย่าง NDR ที่ขึ้นมาแรงก่อนหน้า ขณะที่กลุ่มยางอื่นๆ STA STGT บวกสวนขึ้นมา พร้อมกับอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ KCE HANA รวมทั้งคริปโตอย่าง JTS
แนวโน้มตลาดวันนี้
กุสะลา ทรัมป์ มา!! (บาทอ่อนยวบ ฝรั่งตื่นมาขาย)
หุ้นไทยเกือบทั้งกระดานถูกเทขายตอนสี่โมงเย็นเมื่อวานนี้ หลังเงินบาทอ่อนยวบ-เทียบดอลลาร์สหรัฐ แม้ตอนแรกที่รับข่าว ทรัมป์ชนะ ชื่อหุ้นไทย ที่ตลาดคาดหวังว่า จะได้กระแสตอบรับเชิงบวก จากการมาของ ทรัมป์ ได้แก่ อุตฯส่งออกสินค้าทดแทน DELTA KCE HANA STGT STA นิคมฯ WHA ส่วนหุ้นที่ไม่ชอบคงเป็นกลุ่ม เชื่อมโยง น้ำมัน PTTEP TOP PTTGC BANPU ฯลฯ
นโยบาย ทรัมป์ ที่จะเห็นผลเร็วกระทบหุ้นเชื่อมโยง ในช่วงสั้นๆ
1) กีดกันการค้ากับ จีน บวกต่อกลุ่มสินค้าทดแทน แต่เรื่องการย้ายฐานการผลิตอาจต้องเฝ้าระวังมาตรการถัดๆไป เพราะสหรัฐฯรู้ตัวเรื่องนี้ดี (ดูตัวอย่างเก็บภาษีโซลาร์เซลในไทย เวียดนาม)
2) ไม่สนับสนุนสงคราม ส่งเสริมการผลิตอุตสาหกรรมน้ำมัน ไม่สนโลกร้อน: สงครามที่ยืดเยื้อ รัสเซียยูเครน ตะวันออกกลาง น่าจะนิ่งขึ้น (ไม่ได้บอกว่าจบ) ราคาน้ำมันที่เคยพุ่งรับข่าวนี้อาจแผ่วลง ส่วนเงินเฟ้ออาจลดบ้าง แต่สุดท้ายของแพงจากภาษีนำเข้า
3) การสนับสนุนเทคโนโลยีของ เทสล่า ทั้งเรื่องอวกาศ ดาวเทียม AI หุ่นยนต์ ดาต้าเซ็นเตอร์ (PROEN ADVANC THCOM GULF INTUCH DELTA HANA STECON)
4) ดอลลาร์สหรัฐ กลับกลายเป็นแข็งโป๊ก จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนหุ้นเมกาแบบเต็มพิกัด (ตลาดอาจไม่ได้สนใจเรื่องขาดดุลงบประมาณ ตราบใดที่พิมพ์แบงก์ออกมาแล้วยังมีคนรับเงินดอลล์) หาหุ้นรับบาทอ่อนเล่นรอไปก่อน...
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้
วิเคราะห์ทางเทคนิค
“Donald Trump” คว้าชัยชนะ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ (ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งมาแล้ว 1 ครั้งเมื่อปี 2016-2021) ภาพรวมส่งผลให้กระแสเงินไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น US, ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าทันที ขณะที่ US bond yield ปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้ Bitcoin พุ่งขึ้นแรง! ส่วนสาเหตุที่ทำให้สินทรัพย์เหล่านี้ขึ้นแรงมาจากเรื่องนโยบายหาเสียงของพรรค republican นั่นเองและอาจส่งผลต่อ fund flow เงินไหลออกจากตลาดหุ้น EM เป็นปัจจัยกระทบด้านลบ ส่วนตลาดหุ้นไทยย่อแต่! สามารถยืนปิดบนเส้น EMA 25 วันที่ 1,450 จุด กรณีหลุดจะมีโซนรับถัดไปที่ 1,425 จุด (Fibo 38.2%) ยังคงมองลงไม่ลึก
Note: เดือนต.ค. เป็นช่วงที่กองวายุภักษ์เข้าตลาด ส่งผลให้ SET ปรับตัวขึ้นจาก 1450 จุด ดังนั้นหากดัชนีปรับฐาน น่าจะมีแรงหนุนจากกองทุนในปท.คอยพยุงตลาดไว้ได้ครับ
What to watch
รายงานงบการเงินหุ้นสำคัญสัปดาห์นี้ เช่น 7 พ.ย. BH CPAXT BJC OR BCP, 8พ.ย. JMT WHA WHAUP INTUCH GUNKUL CBG COM7 (ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมใน Figure 1-3 รายงานกลยุทธ์ประจำสัปดาห์)
ผลสำรวจนักลงทุน FED watch tool CMEให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันพรุ่งนี้ และ 80.1% คาดลดดอกเบี้ยอีก 0.25% เหลือ 4.25-4.5% ในการประชุมเดือน ธ.ค.
MSCI รอบใหม่ (ใช้ราคาปิด 25 พ.ย. 67) โดย MSCI Global Standard ไม่มีหุ้นเข้าใหม่ (ลบต่อ IVL-MTC ที่ถูกคาดหวัง) ส่วนหุ้นออกมา SCGP ขณะที่ MSCI Global Small Cap. หุ้นเข้า CCET และออก TQM
คาดหุ้นเข้า ออก จากการคำนวณ SET50-100 รอบใหม่ ได้แก่ SET50 เข้า COM7 BANPU SAWAD (ออก BCP EA TIDLOR) ส่วน SET100 เข้า CCET COCOCO JTS (ต้องผ่านเกณฑ์ทั้งหมดใน ต.ค.-พ.ย.) KAMART (ออก MBK TIPH RBF SKY)
คลังเผย สถาบันการเงิน มีข้อเสนอให้มีการลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จากปัจจุบันที่ 0.46% (ลดดอก FIDF เพื่อแลกกับมาตรการลดหนี้ และ เสริมการลดดอกเบี้ยนโยบายแบงก์ชาติ ซึ่งก็ต้องดูว่า แบงก์ชาติ จะเอาด้วยหรือไม่เพราะผู้ว่าเคยให้สัมภาษณ์ เชิงปฏิเสธมาแล้ว)
หุ้นแนะนำวันนี้
STECON กำแพงภาษีสหรัฐฯ-จีน จะนำมาซึ่งการทุ่มตลาดวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคนี้อีกครั้ง (วัสดุก่อสร้างราคาลง) และอานิสงส์การสร้าง ดาต้าเซ็นเตอร์ จะช่วยหนุนกำไร (S 8.8 R 9.5 SL 8.5)
Tactical port
เพิ่ม STECON ถอด BEM JMT
รายงานพื้นฐานวันนี้
Economics
เงินเฟ้อไทยเดือน ต.ค. เพิ่มน้อยกว่าคาด
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนตุลาคม 2024 ขยายตัว 0.83% YoY แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.94% YoY โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และน้ำมันดีเซล (จากฐาน ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักอาหารสดและพลังงาน) ขยายตัว 0.77% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เล็กน้อยที่ 0.8% YoY
รายกลุ่ม ราคาสินค้าที่ยังเติบโตโดดเด่น อาหารสำเร็จรูป +2.33% YoY (+0.17% MoM) อาหารบริโภคในบ้าน +1.84% YoY (+0.1% MoM) อาหารบริโภคนอกบ้าน +2.98% YoY (+0.27% MoM) และกลุ่มน้ำมันเบนซิน 91, 95, ดีเซล +8.64% YoY (+0.05% MoM) โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดีเซล ที่มีราคาสูงขึ้น เมื่อเทียบกับฐานต่ำในปีก่อนหน้าที่มีมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานจากภาครัฐ
ส่วนราคาสินค้าที่ยังคงขยายตัว YoY แต่หดตัว MoM ผักสด +5.09% YoY (-1.62% MoM) ผักสด แปรรูป +3.41% YoY (-1.26% MoM) ผลไม้สด +6.49% YoY (-1.84% MoM) ผลไม้สดแปรรูป +6.46% YoY (-1.83% MoM) สะท้อนถึงผลกระทบที่ลดลงจากปัจจัยน้ำท่วมที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
ราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับตัวเร่งสูงขึ้น ค่าโดยสารสาธารณะ: +1.35% YoY (+0.04% MoM) ค่าโดยสารนอกท้องถิ่น +2.99% YoY (+0.54% MoM) สะท้อนถึงการมาของฤดูท่องเที่ยว
Economist View: คาดเงินเฟ้อ 4Q24 คาดจะอยู่เฉลี่ย 1-1.2% และภาพรวมปี 2024 ที่ 0.5% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3%
Utilities Sector
โรงไฟฟ้า ได้ไปต่อในปี 2025
กลุ่ม Utilities คาดว่าจะคงโมเมนตัมการเติบโตไปจนถึงปี 2025 โดยมีปัจจัยหนุนจาก
1) โครงการพลังงานหมุนเวียน 14GW จะเปิดประมูลในปี 2025-27 โดยเฉพาะความมั่นใจหลังจาก กลุ่ม Data Center เติบโตอย่างรวดเร็ว หนุนอุปสงค์เพิ่ม แม้อาจจะมีการร้องเรียนการประมูลโรงไฟฟ้าใหม่ ให้เกิดความล่าช้าบ้าง แต่คาดว่าภาครัฐยังคงเร่ง
2) แนวโน้มต้นทุนก๊าซลดลง โดยเฉพาะหากจากค่าเงินบางโดยเฉลี่ยแข็งค่า ขณะที่ค่าไฟฟ้ามีโอกาสใกล้เคียงเดิม โดยรวมบวกต่อกลุ่ม SPP อย่าง BGRIM GPSC WHAUP
3) คาดกำไร 3Q24 ของกลุ่มรวมที่ 7.8 พันล้านบาท เติบโต 4% YoY และ 3% QoQ จากกำลังการผลิตใหม่ และอัตรากำไรของกลุ่ม SPP ดีขึ้น โดยคาด BGRIM และ GUNKUL จะเติบโตได้ทั้ง YoY, QoQ
4) แนวโน้ม 4Q24 และปี 2025 คาดกำไรเติบโตต่อ โดยใน 4Q24 คาดกำไรเพิ่มขึ้น 24% YoY (ลดลง 10% QoQ ตามฤดูกาล) ส่วนปี 2025 คาดเห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นจากทั้ง 1) ดอกเบี้ยขาลง 2) อุปสงค์เพิ่มขึ้นจาก Data Center และ 3) การประมูลโรงไฟฟ้าใหม่
Fundamental View: เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ของทุกบริษัท และปรับลดสมมติฐาน Ris-free rate ในการคำนวณมูลค่ากิจการลงเป็น 2.30% (จาก 2.70%) โดยเราให้คำแนะนำซื้อ GULF WHAUP GUNKUL
Retail Finance Sector
ความกังวล NPL ของ THANI กระทบรายอื่นๆ หรือไม่
ราคาหุ้นกลุ่ม Retail Finance ปรับลดลงแรงเมื่อวานนี้ เราคาดว่าเกิดจาก THANI รายงานคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลงใน 3Q24 ทำให้ตลาดกังวลว่าคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่ม Retail Finance จะอ่อนแอลงด้วย อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าธุรกิจของ THANI ซึ่งประกอบธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกเป็นหลัก ต่างจาก MTC SAWAD และ TIDLOR (TIDLOR มีสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกราว 15% ของสินเชื่อรวม) ที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก
เราไปศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่า NPLs/loans ratio ของ THANI และ TIDLOR แทบไม่มีความสัมพันธ์กันเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไปดู NPLs/loans ratio ของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนของ TISCO พบว่ามี correlation กับ NPLs/loans ratio ของ TIDLOR 40% และของ SAWAD ถึง 65% ซึ่งหลังจาก ที่ TISCO ได้รายงาน NPLs/loans ratio ของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียน ณ สิ้น 3Q24 ที่ทรงตัวจาก สิ้น 2Q24 ทำให้เรามองว่าคุณภาพสินทรัพย์ของผู้ประกอบการสินเชื่อกลุ่มจำนำทะเบียนน่าจะเริ่มควบคุมได้ใน 3Q24
Fundamental View: ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าราคาขายเมื่อวานนี้ สะท้อนความกังวลที่มากเกินไป
JMT
เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส
ฉันกลับมาแล้ว
เราคาดกำไรสุทธิ 3Q24 เท่ากับ 420 ล้านบาท สูงกว่าที่คาดไว้เดิม 8% โดยเป็นการลดลง 10% YoY (Gross margin อ่อนตัวลง และ Credit cost สูงขึ้น) แต่เพิ่มขึ้น 14% QoQ (รายได้รวมสูงขึ้นและ Credit cost ลดลง) โดยเราคาดการจัดเก็บเงินสดจะฟื้นตัว QoQ ใน 3Q24 และคาดจะฟื้นตัว QoQ ต่อเนื่องใน 4Q24 เพราะเป็นช่วง high season
เราไปศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและ/หรือดัชนีค้าปลีกกับการจัดเก็บเงินสดของ JMT มี Correlation กันค่อนข้างสูง ซึ่งเราพบว่าดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและดัชนีค้าปลีกปรับสูงขึ้นใน 3Q24 และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 4Q24 ทำให้เราประเมินว่าการจัดเก็บเงินสดของ JMT จะฟื้นตัวได้ QoQ ใน 3Q-4Q24
เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-25 ขึ้น 13% และ 17% ตามลำดับ โดยภายหลังปรับประมาณการ เราคาดกำไรสุทธิปี 2025 จะเติบโต 17% YoY จากแนวโน้มการจัดเก็บเงินสดฟื้นตัว
Fundamental View: เราปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ ที่ 22 บาท
รายงานผลประกอบการวันนี้
(-) PTTGC รายงานขาดทุนสุทธิ 3Q24 ที่ 1.93 หมื่นล้านบาท หักรายการพิเศษ ขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 1.72 พันล้านบาท พลิกจากกำไร YoY แต่ขาดทุนหลักน้อยลง QoQ อย่างไรก็ดี ผลประกอบการออกมาแย่กว่าที่เราคาด รวมทั้งแนวโน้ม 4Q24 ยังไม่ตื่นเต้น (ขาดทุนต่อ) ยังแนะนำ wait-and-see หากมีอยู่แนะนำขาย
(0) TU รายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 1.4 พันล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 1.45 พันล้านบาท ลดลง 1% YoY และทรงตัว QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 4Q24 คาดกำไรหลักลดลง YoY และ QoQ จากค่าใช่จ่ายที่สูงขึ้น โดยเราปรับประมาณการกำไรปี 2024-25 ลง 7% และ 10% ตามลำดับ รวมทั้งปรับลดราคาเป้าหมายลงมาเป็น 17.80 บาท (เดิม 18 บาท) แต่ยังให้คำแนะนำซื้อ ในเชิงพื้นฐาน
สรุปประเด็นจาก Quick take
ITC
ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น
เห็นสัญญาณเติบโตรายได้ YoY สำหรับ 3Q24
สาระสำคัญจากการประชุมอัพเดทข้อมูลผลการดำเนินงาน เช้าวานนี้ ผู้บริหารมองแนวโน้ม 4Q24 ยอดขายยังโตต่อเนื่อง YoY และ QoQ และอัตรากำไรขั้นต้น (GM) จะลดลง QoQ จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
View From Fundamental: จากข้อมูลที่ได้รับ ทำให้เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 4Q24 จะอ่อนตัวลง QoQ ซึ่งอาจทำให้เราต้องปรับกำไรทั้งปี 2024 ลงประมาณ 5%
อย่างไรก็ดี จากการคาดการณ์กำไรเติบโต 77% ในปี 2567 ซึ่งหนุนจากยอดขายและอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ!!
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน