ภาพตลาดและแนวโน้ม
/Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัพเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
ประเด็นสำคัญ:
การติดตามกระแสการลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่แย่ลง โดยมียอดขายสุทธิรวมกันมูลค่า 7,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งพลิกกลับจากยอดซื้อสุทธิ 769 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อนหน้า แรงขายหนักที่สุดมาจากตลาดหุ้นไต้หวันมูลค่า 5,866 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ก็ประสบกับแรงขายเช่นกันที่ 285 ล้านดอลลาร์ 277 ล้านดอลลาร์ และ 57 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ ทำให้ตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP Market มียอดขายสุทธิรวมกัน 620 ล้านดอลลาร์ ซึ่งพลิกกลับจากยอดซื้อสุทธิมูลค่า 187 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อน
สำหรับแรงซื้อเด่นในภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index มีดังนี้ (1) Commerce (2) Basic Material และ (3) Distribution ส่วนอุตสาหกรรมนอกนั้นเผชิญกับแรงขายเป็นส่วนใหญ่

แนวโน้ม:
เซคเตอร์ไทยที่น่าจับตาในระยะสั้น (เฉพาะที่ cover ในรายงาน Flow Tracker) ได้แก่
กลุ่มที่ Volume Index อยู่ในระดับใกล้ mid-point และมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้น ได้แก่ Commerce
กลุ่มที่ Volume Index พักตัวมาแล้ว 4 สัปดาห์และมีแนวโน้มฟื้นตัวจากระดับสูงกว่า mid-point ได้แก่ Transportation
กลุ่มที่ Volume Index มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับต่ำกว่า mid-point ได้แก่ ICT

Market Timing Update (เฉพาะตลาดหุ้นไทย):
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างรุนแรง -4.6% โดยดัชนีลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1,330 จุด ก่อนที่จะมีการฟื้นตัวเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ค่าความผันผวนระหว่างวัน (intraday volatility) พุ่งสูงถึง 10% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ และใกล้เคียงกับช่วงการปรับฐาน (consolidation) ในเดือนมีนาคม 2023 ก่อนที่ดัชนี SET จะรีบาวด์ประมาณ 6% ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ต่อมา
เราคาดว่าภาพของการรีบาวด์ด้วยลักษณะคล้ายๆกันจะเกิดขึ้นกับ SET ในเดือน พ.ค. จากสัญญาณ Market Timing Indicator ดังต่อไปนี้
1 ค่าความผันผวนข้ามวัน (overnight volatility) มีแนวโน้มพีคในสัปดาห์นี้ หลังจากที่กำลังปรับตัวเข้าใกล้ค่าเฉลี่ย 5 ปี โดยคาดการณ์ว่าค่า overnight volatility จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ (normalize) ในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
2 ดัชนี Short-term Bull-to-Bear ได้ปรับตัวลงจากระดับ 68% สู่ 11% ซึ่งเป็นกรอบล่างที่มักเกิด mean reversion ตามมา
3 ดัชนี Medium-term Bull-to-Bear มีโอกาสฟื้นตัวในสัปดาห์ถัดไปตาม Composite Short-term Indicator ที่กำลังฟื้นตัวในสัปดาห์นี้

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET กลับมาเด้งวานนี้ ตามตลาดโลก นำโดยธนาคาร SCB BBL KBANK TISCO KTB และหุ้นบลูชิป โดยเฉพาะ Defensive อย่าง AOT GULF GPSC ADVANC BDMS ส่วนกลุ่มบวกแรง JAS (เตรียมซื้อหุ้นคืน) OSP CBG และเรือ RCL PSL

แนวโน้มตลาดวันนี้
ชนแนวต้านแล้วย่อ
วันนี้คาดรีบาวด์ได้ แต่อีกไม่ไกล หลังเมื่อวานเด้งไปแล้ว 17 จุด อิงทฤษฎีเทคนิค “เด้ง 1 ใน 3 ของที่ลง 60 จุด” และปัจจัยที่จะบ่งชี้การรีบาวด์ต่อจนสามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มได้ คาดขึ้นอยู่กับ 1. แรงซื้อคืนหรือ Cover short ว่าจะเร่งซื้อจนเกิด Game stop ได้หรือไม่ (บังคับให้ นักขายชอร์ต ต้องรีบซื้อคืน เพราะมีแนวโน้มที่หุ้นจะขึ้นแรง) “ความเห็นเรา ยังไม่น่าจะเกิดภาวะไล่ซื้อทุกราคา แบบ Game stop” และ 2.พัฒนาการภัยสงครามในตะวันออกกลาง ว่าจะมีประเด็นร้อนใหม่จุดชนวนให้เกิดการต่อสู้ตอบโต้อีกหรือไม่ แม้ว่าเราคาดว่าไม่น่าจะมีประเด็นใหม่ที่จะเป็นชนวนเหตุในช่วงนี้ แต่ยังเป็นเหตุที่ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้า จึงทำให้นักลงทุนซื้อไปกลัวไป และนักเล่นสั้นพร้อมทำการจากการช้อนซื้อในระหว่างสัปดาห์ที่แล้ว “ความเห็นเรา นักเล่นสั้นที่จ้องจะขายทำกำไร น่าจะกดราคาไว้ในระยะสั้น”

กลยุทธ์การลงทุน
ระยะสั้น ระมัดระวังในการเลือกหุ้นเล่น ควรโฟกัสเป็นรายตัวไป ไม่เร่งซื้อแบบกระจาย

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET Index ฟื้นตัวพร้อมหุ้นโลกภายหลังการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ไม่รุนแรงและจำกัดอยู่ในพื้นที่ตะวันออกกลาง technical rebound (หลุดหลุดโซนรับสำคัญที่ 1350 จุด แล้วรีบาวด์) อย่างไรก็ตามโครงสร้างระยะกลาง “Bearish rectangle” บ่งชี้รูปแบบขาลง แต่อาจมีสัญญาณเด้งสั้นเมื่อ RSI แตะเขตแดน oversold สถิติในอดีตชี้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ภาวะสงคราม/ขัดแย้ง ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงแรงหรือไม่ อาจขึ้นอยู่กับสถานการณ์....มุมมองเราหากการสู้รบยืดเยื้อ/รุนแรงขึ้น คาดว่าดัชนีจะปรับฐานลงไปได้อีกประมาณ 7-8% จากจุดสูงสุดที่ 1,400 จุด downside risk จะอยู่บริเวณ 1,280-1,300 จุด แนวโน้มระยะสั้น เน้นเก็งกำไรไปก่อนครับ

What to watch
เหตุระเบิดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ในเมือง อิสฟาฮาน ของอิหร่าน ซึ่งกระแสข่าวลือบ่งชี้ว่าเป็นการ โจมตีจาก อิสราเอล แต่ทางการอิหร่านสกัดไว้ได้ และชี้แจงแล้วว่าไม่ได้ ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ดังกล่าว (โดยระบุว่าไม่มีแผนตอบโต้กลับ...นับเป็นสัญญาณแรก ที่ดี)
กระแสข่าวการปรับ ครม.ในประเทศ
ประชุม ครม. อาจมีการเสนอขอความเห็นชอบแนวทาง ดำเนินโครงการ ดิจิตอลวอลเล็ต
วันที่ 23 เม.ย. นี้ กกพ. จะเปิดให้ยื่นข้อเสนอโครงการทางด่วน “จตุโชติ-ลำลูกกา” มูลค่าราว 1.9 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ วันศุกร์ และ GDP วันพฤหัส หากตัวเลขทั้งคู่แผ่วลงคาดจะหนุนบรรยากาศลงทุนหุ้นไทย

หุ้นแนะนำวันนี้
OSP มุมมองเชิงบวกจากการประชุม นักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ แนวโน้มกำไรเริ่มฟื้นตัวหนุนแรงซื้อคืนระยะสั้น (S 20 R 21/22 SL 19)

รายงานพื้นฐานวันนี้

Commodities
ค่าระวางเรือเทกอง และค่าการกลั่น เป็นผู้นำกลุ่ม
ในสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบดูไบ ย่อตัวลง $1.56 WoW เป็น $88.99/บาร์เรล จากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่พักความร้อนแรงลง (ลบต่อ PTTEP)
ค่าการกลั่น (อิงสิงคโปร์) ขยายตัว $0.38 WoW เป็น $4.27/บาร์เรล นำโดย Gasoline และน้ำมันเตา (บวกต่อ SPRC และ TOP มากสุด)
ส่วนต่างราคา (Spread) ส่วนใหญ่ปรับตัวต่อ หลักๆ จากต้นทุนลด (โดยรวมบวกต่อ PTTGC มากสุด)
ราคาถ่านหินลดลง 1% WoW เป็น $126.90/ตัน (ลบต่อ BANPU เล็กน้อย)
ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) เพิ่มขึ้นต่อ 12% WoW เป็น 1,835 จุด จากทุกกลุ่ม (บวกต่อ PSL และ TTA)
ส่วนค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ (World Container Index) ลดลง 3% WoW เป็น 2,719 จุด (ลบต่อ RCL)
Fundamental View: เชิงพื้นฐานเราชอบ PTTEP มากสุดสำหรับพลังงานต้นน้ำ, TOP มากสุดในกลุ่มโรงกลั่น และมองเห็นโอกาสการเก็งกำไรหุ้นเรือเทกอง PSL TTA อีกครั้ง

Banking Sector
ยังคงแนะเลือกรายตัวที่ฐานกำไรแกร่ง
ภาพรวมกำไรสุทธิกลุ่มธนาคาร 1Q24 เท่ากับ 5.5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่เราคาดและตลาดคาดราว 6% หลักๆ มาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน โดยกำไรสุทธิ 1Q24 เพิ่มขึ้น 10% YoY (NIM ขยายตัวดีขึ้น) และ 29% QoQ (ค่าใช้จ่ายดำเนินงานและสำรองหนี้ฯ ลดลง) เรามีปรับลดประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารลงเล็กน้อย 1% จากเดิม โดยปรับลดประมาณการกำไรของ BBL และ TISCO ลง แต่ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ TTB ขึ้นสำหรับปี 2024
ทั้งนี้ สิ่งที่เราให้ความสำคัญในช่วงที่เหลือของปี 2024 คือ NIM และ Credit cost เพราะเป็นสมมติฐานสำคัญที่จะทำให้ประมาณการกำไรปีนี้ของเรา Upside หรือ Downside ได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเรายังไม่เห็นสัญญาณที่สร้างความมั่นใจต่อการปรับเพิ่ม-ลดประมารการกำไรดังกล่าวที่ชัดเจนขนาดนั้น
Fundamental View: Top picks เน้นเลือกหุ้นที่ downside ของกำไรจำกัด Valuations ถูก และมีปันผลสูง ได้แก่ KTB และ TTB

SPALI
ศุภาลัย
ยากที่จะมองบวกได้
ผู้บริหารมุมมองตลาดอสังหาฯ 1Q24 น่าผิดหวัง เนื่องจากกำลังซื้อที่อ่อนแอตามยอด presales และยอดโอนที่คาดว่าจะต่ำที่สุดในรอบหลายปี เราคาดการณ์กำไรหลัก 1Q24 ที่ 680 ล้านบาท ลดลง 37% YoY และ 66% QoQ จากรายได้ที่อยู่อาศัยที่ลดลง และ GM ที่บางลงจากยอดโอนส่วนใหญ่มาจากโครงการแนวราบ และรายได้จากโครงการในประเทศออสเตรเลียที่ GM ต่ำ
โดยกำไรที่เราคาด 1Q24 คิดเป็นเพียง 12% ของประมาณการทั้งปีของเรา และคิดเป็นเพียง 10% ของการคาดการณ์ตลาด ดังนั้น เราเห็นถึงการปรับลดกำไรปี 2024 ลงจากตลาดในช่วง 5-10% และเรามองว่ายอดขายและยอดโอนปีนี้จะถึงเป้าหมายได้ยาก และมีโอกาสพลาดสูง (presales และโอน คิดเป็นเพียง 19% และ 16% ของเป้าหมายทั้งปี 2024) และจากความเสี่ยงดังกล่าว เราจึงยังมอง Conservative ต่อกำไรทั้งปี 2024 ต่อ ซึ่งเราคาดต่ำกว่าที่ตลาดคาดอยู่แล้วราว 12%
Fundamental View: เรายังคงแนะนำถือ

Tactical Idea Call
Market-Timing Strategy: Kickoff เข้าช่วงประมูลโครงการรัฐฯ
หลังจาก พ.ร.บ. งบประมาณ มีผลบังคับใช้แล้ว จะเห็นการทยอยเปิดประมูลโครงการค้างท่อ แต่จุดเริ่มต้นของการประมูลงานก่อสร้างไม่ต้องรอนานขนาดนั้น เพราะวันนี้ (23 เม.ย.) กกพ. จะเปิดให้ยื่นข้อเสนอโครงการทางด่วน “จตุโชติ-ลำลูกกา” มูลค่าราว 1.9 หมื่นล้านบาท
จุดสำคัญ คือ จะเป็นการจุดพลุงานประมูลรอบใหม่ พร้อมหุ้นรับเหมาฯ กลับมาคึกคัก โดยโครงการนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าประมูลเดี่ยวๆ หรือเป็น JV เราเชื่อว่ามีชื่อรับเหมาฯ รายใหญ่ แน่นอน และจะรู้พร้อมกันว่า ITD ยังเข้าชิงงานหรือไม่ (เพื่อมองทิศทางการแข่งขันถัดไป) หลังจากนั้นจะเห็น การประมูลงานใหญ่ เรียงรายต่อตลอดปี คาดเห็น TOR ออกมารวมๆ ราว 3.5 แสนล้านบาท (ย้อนอ่านรายงานกลุ่มรับเหมาฯ วันที่ 25 มี.ค.) โดยโครงการถัดไป รถไฟรางคู่ขอนแก่น-หนองคาย มูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะอยู่ในช่วง พ.ค. วันนี้ เราเปิดหน้าหุ้นเชื่อมโยงกลุ่มงานก่อสร้างในแต่ละกลุ่ม
กลุ่มรับเหมาโยธา: CK STEC ITD UNIQ NWR CIVIL CNT
กลุ่มรับเหมางานเสาเข็ม: SEAFCO PYLON
กลุ่มเชี่ยวชาญงานเฉพาะทางอื่นๆ: RT STI STPI BJCHI TRC
กลุ่มผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง: TASCO SCC SCCC TPOLY DOHOME GLOBAL
Tactical Idea: แนะหุ้นกลุ่มรับเหมางานโยธา ที่เป็นผู้เล่นโดยตรงกับการประมูลงาน และเน้นหุ้นใหญ่ที่มีศักยภาพ พร้อมสถานะการเงินพร้อม อย่าง STEC ตามด้วย CK

Quant Portfolio
อัพเดทพอร์ตการลงทุน
พอร์ตการลงทุนของเราให้ผลตอบแทน -4.9% นับจากวันที่เราออกบทวิเคราะห์ฉบับล่าสุดในวันที่ 18 เม.ย. ซึ่งต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยซึ่งอยู่ที่ -4.6% เล็กน้อย ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้เรามีการปรับหุ้นในพอร์ต โดยถอดหุ้น PTTEP และ PTTGC ออกจากพอร์ต เพิ่ม COCOCO เข้ามาในพอร์ต และ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน BH และ ICHI


รายงานผลประกอบการวันนี้

SCGD
เอสซีจี เดคคอร์

(+) SCGD รายงานกำไรสุทธิ 1Q24 ที่ 257 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน YoY และเพิ่มขึ้น 76% QoQ และคิดเป็นกำไรหลักที่ 257 ล้านบาท เช่นกัน เพิ่มขึ้น 28% YoY และ 44% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 43% และ 14% ตามลำดับ จาก SG&A ต่ำกว่าคาด และรายได้อื่นสูงกว่าที่คาด แนวโน้ม 2Q24 คาดเห็นกำไรหลักขยายตัวทั้ง YoY และ QoQ หนุนโดยยอดขายทั้งกลุ่มเซรามิกและสุขภัณฑ์ บวกกับ GM ขยายตัว อย่างไรก็ตาม เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง 14% สะท้อนมุมมองต่อแนวโน้ม 1H24 ที่บริษัทลดความคาดหวังลงจากเดิม ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 12.70 บาท (เดิม 15.60 บาท) แต่ยังคงแนะนำซื้อ ด้วยกำไรที่ดีกว่าคาด และ Valuation ที่ลงมาถูกแล้ว

KBANK
ธนาคารกสิกรไทย
(+) KBANK รายงานกำไรสุทธิ 1Q24 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่เราคาดและตลาดคาดราว 20% จาก Credit cost ที่ต่ำกว่าคาดและกำไรจากเครื่องมือทางการเงินสูงกว่าคาด โดยกำไร 1Q24 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 26% YoY และ 44% QoQ จาก credit cost และค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง ทั้งนี้ เราคาดกำไรสุทธิ ปี 2024 จะเติบโต 7% YoY จากสินเชื่อเติบโตและ credit cost ลดลง Valuations ถูกกว่าค่าเฉลี่ย กลุ่มธนาคารมาก แนะนำซื้อ

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน