TIDLOR คำแนะนำ ซื้อ
ราคาปิด 22.10 บาท ราคาพื้นฐาน 26 บาท
คาดปี 24F จะทำ Record high ใหม่

- Recap ผลประกอบการปี 23 – บริษัททำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% มาจากรายได้เติบโต (จากสินเชื่อขยาย 20% รายได้นายหน้าขายประกันเพิ่ม 25%)และ C/I ratio ลดลง บริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี โดย NPL ratio ลดลงสู่ 1.45% ในสิ้นปี 23 (จาก 1.51% ในสิ้น 3Q23) ตั้งสำรองฯเพิ่มขึ้นรองรับความเสี่ยงด้าน NPL ในระยะต่อไป และการตัดหนี้สูญ โดย credit cost ปี 23 เพิ่มเป็น 3.3% (จาก 2.2% ในปี 22) สำหรับcoverage ratio สิ้นปี 23 สูงมากที่ 282%

-ตั้งเป้าสินเชื่อโต 10-20% ในปี 24F หนุนโดยธุรกิจบัตรกดเงินสด, สินเชื่อจำนำรถยนต์ ส่วนสินเชื่อจ าน ารถจักรยานยนต์และรถบรรทุกก็ยังเติบโตได้ บริษัทเพิ่งเริ่มปล่อยสินเชื่อจำนำโฉนดที่ดินไปเมื่อ 4Q23ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และคาดว่าจะขยายตัวในปี 24F

-มีช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ในปี 23 เปิดสาขาเพียง 50 สาขา ณ สิ้นปี 23 มีสาขาทั้งสิ้น 1,678 สาขา แต่การปล่อยสินเชื่อต่อสาขายังสูงสุดในอุตสาหกรรม โดยสูงกว่าเฉลี่ยประมาณ 3 เท่าที่ 58 ล้านบาท/สาขาในปี 23 และมีจุดบริการที่ไม่ใช่สาขากว่า 6 หมื่นแห่ง กระจายทั่วประเทศให้ลูกค้าเข้าถึงได้ (ประกอบด้วยสาขาของ BAY ราว 5.5หมื่นสาขา, เอเจนต์ 1.33 หมื่นราย, ดีลเลอร์ขายรถบรรทุกมือสองราว 550 ราย และอื่นๆ) บริษัทมีผู้ถือบัตรติดล้อราว
6.44 แสนรายในสิ้นปี 23 (โต 30%YoY)

-ตั้งเป้ายอดขายประกันโต 10-20% ในปี 24F ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดขายประกันรถแบบ face-to-face8.3%เป็นอันดับ 1 โดยมีบริษัทประกันที่เป็นพันธมิตร 16 บริษัท และมีโปรให้กับลูกค้า เช่น ผ่อน 0% เป็นเวลา 10 เดือนปัจจุบันขายประกันผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ 1) สาขาและ telesales, 2) ซับโบรกเกอร์, 3) โบรกเกอร์ที่มีระบบดิจิตอลของตัวเอง

- NIM มีโอกาสปรับขึ้น ในปี24F เป็นผลจาก Yield เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมากกว่าต้นทุนทางการเงิน

-C/I ratio คาดว่าจะอยู่ทปี่ ระมาณ 50% กลางๆ ใกล้เคียงกับปี 23 ทั้งนี้แม้ว่าจะมี economy of scale แต่บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายขยายสาขาและพัฒนาแพลทฟอร์มต่อเนื่อง

- บริษัทคาด Credit cost ปี 24F ไว้ที่3.00-3.35% และมอง NPL ratio ที่ 1.4%-1.8% (สิ้นปี 23 อยู่ที่ 1.45%) ปัจจัยที่ทำให้ต้องตั้งสำรองฯสูง คือ ราคารถมือสองลดลงมาก ทั้งจากอุปทานสูง และรถ EV มีราคาถูกลง รวมถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เช่น ดอกเบี้ย, ยอดจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น, งบประมาณรัฐล่าช้า

- คงคำแนะนำซื้อให้ราคาพื้นฐาน 26 บาท อิงกับ P/BV ปีนี้ที่ 2.4 เท่า (Mean-0.5SD) โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 24Fจะเติบโต 22.8% โดยมีสมมติฐานสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท

นักวิเคราะห์ : ธนินี สถิรเรืองชัย : thaninees@th.dbs.com : Tel. 02 857 7837