Thai Market Compass
***ดิจิทัลวอลเล็ต ปัจจัยหนุนกลุ่มค้าปลีก***

แรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับปี 67-68
รัฐบาลได้ประกาศรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมออกมาตรการลดหย่อนภาษีใหม่เพื่อรองรับการบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยมาตรการเหล่านี้มีมูลค่ารวม 6 แสนล้านบาท (มากกว่า 3% ของ GDP) และอาจช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนและการเติบโตของ GDP ในปี 2567-2568 ได้อย่างมีนัยสำคัญ จากเกณฑ์การคัดกรองหุ้นของเรา (รายละเอียดด้านล่าง) เราเชื่อว่า COM7 และ HMPRO น่าจะได้รับอานิสงส์สูงสุดจากมาตรการเหล่านี้

โครงการแจกเงินครั้งมโหฬารที่สุด
นายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยเงื่อนไขและระยะเวลาการดำเนินการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต (แจกเงิน 10,000 บาท) หากไม่รวมผู้ที่มีรายได้ 70,000 บาท/เดือนและผู้ที่มีเงินออมมากกว่า 500,000 บาท ผู้มีสิทธิ์ทั้งหมดมีแนวโน้มสูงถึง 50 ล้านคน (เทียบกับ 56 ล้านคนที่ไม่มีการยกเว้นผู้มีรายได้สูง) โดยมีการผ่อนปรนข้อจำกัดการใช้จ่ายภายในเขตมากกว่ารัศมี 4 กม. นโยบายนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค. 67 ในกรอบเวลา 1 ปี โดยรัฐบาลได้ประกาศมาตรการลดหย่อนภาษีแยกต่างหาก (“e-Refund”) โดยสามารถซื้อสินค้ามูลค่าสูงสุด 50,000 บาท เพื่อนำไปหักลดหย่อนจากรายได้ที่ต้องเสียภาษีได้ เรามองว่ามาตรการนี้น่าจะนำไปใช้กับผู้มีรายได้สูงในกรุงเทพฯ ด้วยวงเงินมากกว่า 6 แสนล้านบาท นี่น่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ยังมีความไม่แน่นอนอีกมากมาย
เรามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว มีอุปสรรค 2 ประการ ประการแรก ความท้าทายทางกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้โครงการถูกยกเลิกทั้งหมดหรือลดขนาดลงอย่างมาก โดยฝ่ายค้านอ้างถึงมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญ (ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินทุนของรัฐ) และมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติความรับผิดชอบทางการเงินและการคลังของรัฐ (ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อจำกัดในการระดมทุนฉุกเฉิน) ประการที่สอง การกู้ยืมเพื่อสนับสนุนมาตรการดังกล่าวอาจมีมูลค่ารวม 6 แสนล้านบาท (มากกว่า 3% ของ GDP) ซึ่งอาจเผชิญ ความท้าทายเนื่องจากเงินทุนยังคงไหลออกและสภาพคล่องส่วนเกินที่ลดลงในประเทศไทย

คาด HMPRO และ COM7 รับอานิสงส์สูงสุด
แม้ว่ามาตรการเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทค้าปลีกที่จดทะเบียนทั้งหมด แต่เราเชื่อว่า COM7 และ HMPRO น่าจะรับอานิสงส์สูงสุด ประการแรก เราเชื่อว่าโครงการดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) มากกว่ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น ( Consumer Staples) และด้วยเหตุนี้ CPALL, CPAXT และ BJC จึงไม่ใช่ตัวเลือกหลักในมุมมองของเรา ประการที่สอง ผู้ค้าปลีกที่มีเป้าหมายในการขายปลีกสูงในประเทศไทยจะได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ค้าปลีกที่มีการดำเนินงานในต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งไม่รวม CRC (ยอดขายในประเทศเพียง 71%) และ CPN (เพียง 47% ของค่าเช่าแปรผันตามยอดขาย) ประการสุดท้าย ผู้ประกอบการจะต้องมีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมทั่วประเทศหรืออยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้ เงื่อนไขสุดท้ายนี้ไม่รวมผู้ประกอบการที่มีจำนวนร้านค้าต่ำ เช่น GLOBAL และ DOHOME สรุปแล้ว COM7 เป็นผู้ค้าปลีกรายเดียวที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ทั้งหมด ในขณะที่ HMPRO มีแนวโน้มเข้าวินสูงสุดในบรรดาร้านอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน เนื่องจากมีสาขาในกรุงเทพฯค่อนข้างมาก