สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 8 พฤศจิกายน 2566)--- บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) BCP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9M/2566 กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 242,931 ล้านบาท(+7% YoY) และมี EBITDA 31,433 ล้านบาท (-17% YoY) โดยกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ได้รับปัจจัยกดดันจาก OperatingGRM ที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงภายหลังความกังวลต่ออุปทานตึงตัวจากสงครามรัสเซียกับยูเครนผ่อนคลายประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมีผลการดำเนินงานปรับลดลง

อย่างไรก็ดี จากการที่กลุ่มบริษัทบางจากได้มีการลงทุนและขยายธุรกิจส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น อาทิ การเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนจาก Wintershall Dea ซึ่งช่วยหนุนให้ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ4 แห่งในสหรัฐฯ (CarrolCounty, South Field, Hamilton Liberty & Patriot) ของกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 66 บริษัทฯได้ประกาศการปิดดีลครั้งประวัติศาสตร์จากความสำเร็จในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จากExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. และจากการยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ รวมการถือหุ้นร้อยละ 76.34 ส่งผลให้บริษัท เอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ และเริ่มมีการรับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในงบการเงินรวมของบางจากตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 66 เป็นต้นมา ส่งผลให้มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 14,210 ล้านบาท (+17% YoY) คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 10.09 บาท

ทั้งนี้ภายหลังบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 66บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ที่ระดับ “A” สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อความเเข็งแกร่งของฐานะทางการเงินในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งนับเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญสำหรับทั้งอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศและสำหรับบริษัทฯ สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เสริมสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งและช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดของบริษัทที่มีการบูรณาการเป็นหนึ่งเดียวให้กับกลุ่มบริษัทบางจาก

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจและสถานการณ์ราคาน้ำมันใน Q4/2566

*แนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจ*
เศรษฐกิจโลกใน Q4/2566 มีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเดือน ต.ค. โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังคงคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2566 ไว้ที่ร้อยละ 3 ซึ่งภาพรวมยังคงได้รับแรงหนุนจากอัตราการว่างงานของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่อยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าภาคบริการเริ่มมีแนวโน้มอ่อนตัวตามภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจจีนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดกันการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เป็นปัจจัยหลักในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักเริ่มเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์อาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งขึ้น

สำหรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยใน Q4/2566 อยู่ในทิศทางฟื้นตัว ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังแข็งแกร่ง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวขึ้นจากมาตรการส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ที่ส่งผลให้ภาคการส่งออกยังคงฟื้นตัวได้ช้า รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หากมีการออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายครั้งใหญ่ และด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากราคาพลังงานและอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยจึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ร้อยละ 2.5ในช่วงที่เหลือของปีนี้

*แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน*
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวเฉลี่ยสูงขึ้นใน Q4/2566 ซึ่งเป็นผลจากสภาวะอุปทานในตลาดตึงตัวอย่างมาก เนื่องจากซาอุดิอาระเบียมีมาตรการการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจไปจนถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 66 ขณะที่อุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมการเดินทางที่ฟื้นตัวต่อเนื่องสู่ระดับปกติก่อนช่วง COVID-19 ส่งผลให้ภาวะขาดดุลอุปทานน้ำมันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ IEA คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 101.9 ล้านบาร์เรล/วันโดยอุปสงค์จากจีนจะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของอุปสงค์น้ำมันทีเติบโต ขณะที่อุปทานน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน โดยอุปทานที่เติบโตมาจากผู้ผลิตนอกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตรจากการประเมินคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยดูไบใน Q4/2566 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ US$85-95/BBL โดยได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์อุปทานน้ำมันดิบตึงตัวต่อเนื่อง ไปจนถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 66 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสงครามความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ปะทุขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. 66 สร้างความกังวลว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบโลก เนื่องจากพื้นที่ความขัดแย้งตั้งอยู่บนภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตน้ำมันหลักที่ส่งออกมาสู่ตลาดโลก

ในช่วง Q4/2566 ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มทรงตัว โดยมีปัจจัยหนุนมาจากความกังวลเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ประกอบกับอุปสงค์น้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างไรก็ตามค่าการกลั่นยังมีปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนของอุปสงค์น้ำมัน ท่ามกลางการชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อทั่วโลก โดยเฉพาะการฟื้นตัวของอุปสงค์ในจีนที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะมีผลทำให้การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนธุรกิจให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง

ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบเดทเบรนท์กับดูไบ (DTD-DB) ใน Q4/2566 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ US$1.0-1.5/BBL โดยส่วนต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ Q3/2566 จากการคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบในยุโรปปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาลในช่วงฤดูหนาวที่โดยปกติแล้วจะมีความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความอบอุ่นเพิ่มมากขึ้น

คาดว่าใน Q4/2566 ค่าการกลั่นของโรงกลั่นประเภท Cracking สิงคโปร์มีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบกับ Q3/2566 โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ไม่แน่นอน ประกอบกับอุปสงค์น้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาลในช่วงฤดูหนาว อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนของอุปสงค์น้ำมัน ท่ามกลางการชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อทั่วโลก โดยเฉพาะแนวโน้มอุปสงค์ในจีนที่ฟื้นตัวต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนเพิ่มขึ้น