สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(15 มิถุนายน 2566)--- บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) INGRS รายงานงบการเงินงวดไตรมาสที่ 1 ( งบสิ้นสุด 30 เมษายน 2566) มีกำไรสุทธิ 46.55 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 49.53 ล้านบาท

นายฮามิดี บิน เมาลอด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร INGRS เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาส 1 ปี2566/67 เป็นจำนวน 1,503.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 545.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 57.0 เมื่อเทียบกับรายได้จากการขายจำนวน 957.5 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

รายได้จากการขายโดยรวมเติบโตขึ้นเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในทุกประเทศ ยกเว้น ประเทศไทย การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเกิดจากการผลดำเนินงานในประเทศมาเลเซียที่ได้จัดตั้งโรงงานใหม่สองแห่งที่Sungai Choh และ Bukit Beruntung ซึ่งดำเนินงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ให้แก่ Peroduaและ Protonในทำนองเดียวกันรายไดจ้ากการขายในประเทศอินโดนีเซียเติบโตขึ้นโดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อีกหนึงรุ่นให้แก่ Hyundai นอกจากนี้รายไดจ้ากการขายในประเทศอินเดียสอดคล้องกับการเติบโตโดยรวมของการผลิตรวมของอุตสาหกรรม ("TIP")ซึ่ง สะทอ้นถึงความต้องการรถยนต์ในตลาดของประเทศอินเดียที่เพิ่มขึ้น

กลุ่มบริษัทฯ รับรู้กำไรสุทธิหลักหักภาษีเป็นจำนวน 76.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดสุทธิหลงหักภาษีจำนวน 89.6 ล้านบาทในรอบระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ในไตรมาส 1 ปี 2566/67 อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญ อยู่ที่ร้อยละ 11.0เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้นที่ร้อยละ
3.5 ในช่วงเวลาเดียวกนัของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินงานสองโครงการใหม่ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย หนึ่งในบริษัทย่อยในประเทศมาเลเซยีประสบความสำเร็จในการเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นใหม่อีกอีกสองรุ่นในเดือนพฤษภาคม 2565และมกราคม 2566รวมถึงบริษัทย่อยในประเทศอนิโดนีเซียได้เริ่มส่งมอบรถยนต์รุ่นที่สอง สำหรับการผลิตให้แก่ Hyundai นอกเหนือจากโครงการใหม่ทั้งสองนี้แล้ว บริษัทย่อยในประเทศอินเดียยังได้ปรับปรุงการจัดการต้นทุน ด้วยการจัดกาวัตถุดิบในราคาที่แข่งขันได้ โดยที่ยังคงคุณภาพวัตถุดิบไว้และลดต้นทุนที่เกิดจากความผิดพลาดในการผลิตสินค้าส่งผลให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและการบริหารต้นทุน โดยรวมดีขึ้นเป็นลำดับ

กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรหลักหักภาษีเงินได้ และส่วนได้เสียของผู้ถือหุ้น ที่ไม่มีอำนาจควบคุมสำหรับไตรมาส 1 ปี2566/67 เป็นจำนวน 46.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับผลขาดทุนหลังการหักภาษีเงินได้และส่วนได้ ส่วนเสียของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยที่ไม่มีอำนาจควบคุม จำนวน 49.5 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน