Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: 7 เทพหุ้นหงายไพ่ กำไรโค้ง2 ปูนใหญ่ หดYoY- QoQ

5,106

 

HotNews:  7 เทพหุ้นหงายไพ่ กำไรโค้ง2 ปูนใหญ่  หดYoY- QoQ

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (10  กรกฎาคม    2562)--------- 7  เทพหุ้นหงายไพ่ กำไรโค้ง2 ปูนใหญ่ฯ หดYoY- QoQ  จากสเปรดปิโตรเคมีอ่อนแอ-ตั้งสำรองผลตอบแทนพนักงาน 2 พันล้านบาท ขณะที่ ธุรกิจซีเมนต์และแพคเกจจิ้งโดนผลของ Seasonality  มองภาพรวมยังมีแรงฉุดจากปิโตรเคมี คาดกำไรปีนี้ลดลง 18%   กูรูดีบีเอสลดราคาพื้นฐานลงเป็น 493 บาท จากเดิม 504 บาท  -เคทีบีฯแนะนำขาย   SCC   ราคาเป้าหมายที่ 450  บาท  -หยวนต้า มองระยะสั้น   SCC ไม่น่าสนใจ แต่เทียบแล้วสถานการณ์ยังดีกว่าคู่แข่ง -ฟิลลิป   ส่องUpside  ปูนใหญ่น้อยลงลดคำแนะนำเป็น "ทยอยซื้อ" -เคจีไอ คำแนะนำถือ SCC ให้ราคาเป้าหมายปี 62 ที่ 458 บาท คาดกำไรจากธุรกิจหลักใน Q3/62  กระเตื้อง  QoQ

 

ด้านกูรูทิสโก้  แนะนำให้ "ซื้อ" SCC  แม้รับผลของสงครามการค้าฉุดผลการดำเนินงานโดยรวม (โดยเฉพาะในส่วนของเคมี)   แต่เชื่อว่าผลกระทบโดยรวมของ SCC จะต่ำกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมปลายน้ำอื่นๆ

 

ดีบีเอสฯ ลดคาดการณ์กำไรปี 62-63 ของ SCC ลง 8% และ 10%


บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 62-63 ของ SCC ลง 8% และ 10% ตามลำดับ สะท้อนสเปรดปิโตรเคมีที่อ่อนแอและการตั้งสำรองผลตอบแทนพนักงานตามกฎหมายใหม่ โดยปรับสเปรด HDPE กับ PP เป็น 500 และ 600 ดอลลาร์/ตัน และมีการตั้งสำรองผลตอบแทนพนักงานฯ 2 พันล้านบาทใน 2Q62

มาร์จิ้น HDPE ล่าสุดอยู่ที่ 493 ดอลลาร์/ตัน (-10%QTD) ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 55 เนื่องจากสงครามการค้าทำให้อุปสงค์สินค้าปลายน้ำที่ใช้ HDPE เป็นวัตถุดิบชะลอตัวลง และมีอุปทานใหม่เข้ามาเพิ่ม 9.1 ล้านตันในปี 62-63 ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ HDPE ทำ EBITDA คิดเป็น 42% ของ EBITDA ธุรกิจปิโตรเคมีทั้งหมด

คาดกำไรสุทธิ 2Q62F หดตัวเป็น 7.4 พันล้านบาท (-41%YoY, -37%QoQ) เพราะสเปรดปิโตรเคมีลดลง, ขาดทุนจากสต๊อก 377 ล้านบาท, ยอดขายซีเมนต์ชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาล (แต่โตได้ YoY เพราะยอดขายภาครัฐที่ขยายตัวดี) และมีตั้งสำรองพนักงานตามกฎหมายใหม่ 2 พันล้านบาท (หลังภาษี) ส่วน Core profit งวดนี้อยู่ที่ 10.3 พันล้านบาท (-15%YoY, -9%QoQ)

การซื้อ Fajar 55% ที่ราคา 655 ล้านดอลลาร์ ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น 2 บาท/หุ้น (อยู่ในราคาพื้นฐานแล้ว) โดย Fajar เป็นผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย มียอดขายในปี 61 เท่ากับ 1.38 ล้านตัน และมีกำไรสุทธิ 98.6 ล้านดอลลาร์ คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จ 3Q62 ทาง DBS มีมุมมองบวกกับการลงทุนใน Fajar เพราะ 1) ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนดีพอควร, 2) เปิดโอกาสให้ SCC ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงจากจำนวนประชากร 270 ล้านคน (สูงกว่าไทยเกือบ 4 เท่า)

แนะนำซื้อ แต่ปรับลดราคาพื้นฐานลงเป็น 493 บาท (เดิม 504 บาท) ทั้งนี้ธุรกิจซีเมนต์ที่ขายให้ภาครัฐ (35% ของทั้งหมด) โตดี 8-10% แต่ก็ถูกฉุดด้วยยอดขายกลุ่มที่พักอาศัยและภาคธุรกิจซบเซา ส่วนภาพรวมซีเมนต์ปีนี้คาดว่าจะทรงตัวถึงเติบโตเล็กน้อย ธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงท้าทายจากผลกระทบสงครามการค้าทำให้อุปสงค์ชะลอขณะที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเพิ่ม ส่งผลให้สเปรดลดลงต่อเนื่อง ด้านธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีโอกาสเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ (ล่าสุดซื้อ Fajar 55%)

 

 

เคทีบีฯ แนะนำ "ขาย" SCC  ราคาเป้าหมาย 450 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด คงคำแนะนำ "ขาย" SCC ราคาเป้าหมายที่ 450.00 บาท อิง SOTP โดยยังมีมุมมองเป็นลบสำหรับธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังอ่อนแอซึ่งจะยังเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการในปีนี้ สำหรับประมาณการกำไรสุทธิใน 2Q19 เราคาด 7,195 ล้านบาท -42% YoY และ -38% QoQ เป็นผลจาก (1) ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานประมาณ 2,000 ล้านบาท (2) กำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลง (3) ธุรกิจซีเมนต์และแพคเกจจิ้งโดนผลของ Seasonality แต่คาดว่ากำไรสุทธิ 2Q19 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของผลประกอบการในปีนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2019 ที่ 39,329 ล้านบาท โดยประมาณ 1H19 คิดเป็น 48% ของประมาณการทั้งปี ทั้งนี้เราคาดว่า consensus จะปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง


คาดกำไรสุทธิใน 2Q19 ยังอ่อนแอ เราประมาณการกำไรสุทธิใน 2Q19 ที่ 7,195 ล้านบาท -42% YoY และ -38% QoQ เป็นผลจาก (1) ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานประมาณ 2,000 ล้านบาท (2) กำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลง โดยส่วนต่างราคา HDPE-Naphtha ปรับลดลงมาอยู่ที่ 545 $/ton -26% YoY, -5% QoQ (3) ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างคาดว่าจะอ่อนตัวลดลงทั้ง YoY และ QoQ เช่นกันเนื่องด้วยเป็น Seasonality และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ชะลอการเปิดโครงการมาตั้งแต่ต้นปีจากผลกระทบ LTV (4) ธุรกิจแพคเกจจิ้งลดลง QoQ เป็นผลจาก Seasonality (5) มีเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม

คงกำไรสุทธิปี 2019 และคาด 2H19 ยังถูกกดดันจากปิโตรเคมี เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2019 ที่ 39,329 ล้านบาท โดยประมาณ 1H19 คิดเป็น 48% ของประมาณการทั้งปี ซึ่งเรายังมองธุรกิจปิโตรเคมียังเป็นตัวกดดันผลประกอบการจาก Trade War ที่ยังเป็นปัจจัย Over hang แต่คาดว่ากำไรสุทธิ 2Q19 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของผลประกอบการในปีนี้

คงราคาเป้าหมายที่ 450.00 บาท อิง SOTP (EV/EBITDA Cement-Building Materials 10x, EV/EBITDA Chemicals 7.5x และ EV/EBITDA Paper 7x) มีความเสี่ยงของ Trade War ที่ยังไร้ซึ่งความชัดเจนส่งผลโดยตรงกับธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัท

 

หยวนต้า ให้4 เหตุผลที่คงคำแนะนำเก็งกำไร SCC

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า 4 เหตุผลที่คงคำแนะนำ "เก็งกำไร" SCC คือ 1) คาดกำไรสุทธิ 2Q62 ที่ 7.6 พันล้านบาท (-35% QoQ, -38% YoY) อ่อนแอจากผลการดำเนินงานหลักที่ชะลอลงตามฤดูกาล และภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี นอกจากนี้ ยังมีรายการพิเศษจากการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงาน และขาดทุนสต็อกเข้ามากดดันจำนวนมาก 2) แนวโน้ม 3Q62 ยังไม่น่าสนใจ เนื่องจากเป็น Low season ของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ 3) เราปรับประมาณการกำไรปี 2562-2563 ลง 8-10% และปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 460.00 บาท อย่างไรก็ตาม 4) SCC ยังถือว่าได้เปรียบคู่แข่งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจากมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และแพ็คเก็จจิ้งเข้ามาบรรเทาผลกระทบจากภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่อ่อนแอ โดยราคาปัจจุบันมีผลตอบแทนเงินปันผล 3.8%

คาด SCC จะรายงานผลประกอบการ 2Q62 ที่อ่อนแอกดดันจากทั้งผลการดำเนินงานปกติ และค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวนมาก โดยสรุปประเด็นกดดันหลักทั้ง 4 ดังนี้ 1) ธุรกิจปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างชะลอลง QoQ ตามปัจจัยด้านฤดูกาลที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน และวันหยุดมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดปูนซีเมนต์ภาคที่อยู่อาศัย และพาณิชย์ยังซบเซา 2) ธุรกิจปิโตรเคมีอ่อนแอตามส่วนต่างราคาปิโตรเคมี โดย HDPE-Naphtha อยู่ที่ US$539/ตัน (-6% QoQ, -28% YoY), PP-Naphtha อยู่ที่ US$602/ตัน (-1% QoQ, -9% YoY) 3) การตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ 2.0 พันล้านบาท และ 4) ขาดทุนสต็อกสินค้า 0.9 พันล้านบาท ส่งผลให้เราคาดกำไรปกติที่ 10.5 พันล้านบาท (-6% QoQ, -12% YoY) และกำไรสุทธิที่ 7.6 พันล้านบาท (-35% QoQ, -38% YoY)

แนวโน้มผลการดำเนินงานหลัก 3Q62 ยังไม่ฟื้นตัวนัก เนื่องจากยังเป็น Low season ของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เพราะเป็นฤดูฝน และตลาดปูนซีเมนต์ภาคที่อยู่อาศัย และพาณิชย์ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีคาดส่วนต่างราคายังถูกดดันจากกำลังผลิตใหม่ และความต้องการใช้ชะลอจากการค้าโลกที่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยมีแนวโน้มอ่อนแอต่อเนื่องจนถึง 1H63 จากเหตุผลข้างต้นเราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2562-2563 ลง 10% และ 8% ตามลำดับ โดยปรับสมมติฐานหลักดังนี้ 1) ส่วนต่างราคา HDPE-Naphtha ลง 3-12% 2) ส่วนต่างราคา PP-Naphtha ลง 3% 3) อัตราการเติบโตยอดขายธุรกิจปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างลง 2% (รายละเอียดหน้า 2) ภายหลังปรับประมาณการ กำไรปกติปี 2562-2563 อยู่ที่ 43.7 พันล้านบาท (-6% YoY) และ 44.6 พันล้านบาท (+2% YoY) โดยสมมติฐานเรารวมการเข้าซื้อกิจการ Fajar Surya Wisesa (Fajar) ผู้นำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย ในสัดส่วน 55% ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ 3Q62 ไว้แล้ว

จากการปรับประมาณการข้างต้น ส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2562 ลดลงเป็น 460.00 บาท อ้างอิงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 5 ปีที่ 12.5x (เท่าเดิม) คาดว่าระยะสั้นหุ้นอาจถูกกดดันจากผลประกอบการ 2Q62-3Q62 ที่ไม่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจปิโตรเคมี เรามองว่า SCC จะมีผลประกอบการที่ดูดีกว่า เนื่องจากมีสัดส่วนกำไรมาจากธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และแพ็คเก็จจิ้งรวม 35-50% เข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ ดังนั้น เชิงพื้นฐานเรายังคงคำแนะนำ "เก็งกำไร" ณ ราคาปัจจุบันมีผลตอบแทนจากเงินปันผล 3.8%

 

 

ฟิลลิปฯ คาดกำไรไตรมาส2/62 SCC ทรุด 66% y-y

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟิลลิป ระบุว่า คาดกำไรของ SCC 2Q62 ลดลง 66% y-y : กำไรลดลงเนื่องจาก 1) ค่าใช้จ่ายพิเศษตาม กม. แรงงานใหม่ ราว 2 พัน ลบ 2) กำไรธุรกิจหลักอ่อนลง 2.1) ปิโตรเคมีได้ผลลบจากเศรษฐกิจโลก ทำให้ Spread ลดลง US$205/ตัน และมีผลขาดทุนคงคลังจากราคาผลิตภัณฑ์ลดลงราว 400 ลบ เศรษฐกิจโลกอ่อนแรงกดดันอุปสงค์ ทั้งๆที่ระดับสต๊อกของลูกค้าต่ำ ทางฝ่ายกังวลแนวโน้มอุปสงค์ต่อเนื่อง 2.2) ปูนฯ-วัสดุก่อสร้าง ทรงตัวจากภาคธุรกิจอสังหาฯที่ชะลอตัว แต่ได้รับผลดีจากการก่อสร้างภาครัฐฯ กำไรเติบโตได้เล็กน้อย y-y 2.3) ธุรกิจกระดาษไม่มีกำลังการผลิตใหม่ คาดการดำเนินงานทรงตัว

กำไรปีนี้คงเหนื่อย: กำไรปีนี้ยังได้รับแรงกดดันจากธุรกิจปิโตรเคมี ขณะที่ ปูน-วัสดุก่อสร้างยังน่าจะเติบโตได้เล็กน้อยจาก Margin ดีขึ้นตามการปรับราคาขาย ส่วนธุรกิจกระดาษเพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการที่อินโดนีเซีย ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตใน 2H62 แต่ภาพรวมยังมีแรงฉุดจากปิโตรเคมี คาดกำไรปีนี้ลดลง 18%

Upside น้อยลง: วงจรปิโตรเคมีเข้าสู่ช่วงต่ำสุด แต่ อีก 2 ธุรกิจมีโอกาสเติบโตมาชดเชย แต่ภาพรวมธุรกิจหลักที่กระจายความเสี่ยงยังมีศักยภาพในระยะยาว แต่ Upside ราคาพื้นฐานรวมเงินปันผลแค่ 7% ทางฝ่ายลดคำแนะนำเป็น "ทยอยซื้อ"
หมายเหตุ: กำไร = ล้านบาท, EPS = บาท

 

เคจีไอฯ มองกำไรโค้ง2 SCC หดจาก spread ปิโตรเคมีลดลง

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SCC ใน 2Q62F จะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท (-19.1% YoY, -13.9% QoQ) โดยกำไรที่ลดลง YoY จะเป็นเพราะ spread ปิโตรเคมีลดลง ในขณะที่กำไรที่ลดลง QoQ จะมาจากผลกระทบของปัจจัยฤดูกาลที่ส่งผลต่อธุรกิจปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และอุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศ ซึ่งเมื่ออิงจากประมาณการกำไร 2Q62F กำไรจากธุรกิจหลักในปีนี้ของเรายังมี downside อีก 5.3% เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลงวด 1H62F ที่ 7 บาท/หุ้น (คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 43%) ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 1.5% เรายังคงคำแนะนำถือ และให้ราคาเป้าหมาย SOTP ปี 2562 ที่ 458 บาท โดยคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 3Q62 จะดีขึ้นเล็กน้อย QoQ

คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SCC ใน 2Q62F จะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท (-19.1% YoY, -13.9% QoQ) โดยกำไรที่ลดลง YoY จะเป็นเพราะ spread ปิโตรเคมีลดลง ในขณะที่กำไรที่ลดลง QoQ จะมาจากปัจจัยฤดูกาลที่ต่อธุรกิจปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศ ทั้งนี้ หากรวมการตั้งสำรองสำหรับผลประโยชน์ของพนักงาน กำไรสุทธิใน 2Q62F จะอยู่ที่ 8.0 พันล้านบาท (-35.2% YoY, -31.1% QoQ) โดยกำไรจากธุรกิจหลักใน 1H62F จะคิดเป็น 46.9% ของประมาณการกำไรปีนี้ทั้งปีของเรา ซึ่งเมื่ออิงจากประมาณการกำไร 2Q62F กำไรจากธุรกิจหลักในปีนี้ของเรายังมี downside อีก 5.3% เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลงวด 1H62F ที่ 7 บาท/หุ้น (คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 43%) ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 1.5%

ธุรกิจเคมีภัณฑ์ (คาดกำไรจากธุรกิจหลักใน 2Q62F จะอยู่ที่ 4.3 พันลบ. (-46.4 % YoY, -28.6% QoQ))
Spread ปิโตรเคมีลดลงเนื่องจากมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามาในขณะที่อุปสงค์ก็ยังไม่แน่นอน โดย spread ของทั้ง HDPE, PP ยังคงลดลง QoQ (Figure 3) ในขณะที่เราคาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนจากสต็อกปิโตรเคมี 1.5 พันล้านบาทใน 2Q62F

ธุรกิจปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้าง (คาดกำไรจากธุรกิจหลักใน 2Q62F จะอยู่ที่ 2.5 พันลบ. (+52.2% YoY, -16.0% QoQ))
กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นของปูนซีเมนต์ (เนื่องจากบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการขึ้นราคาขาย 3% YoY) ส่วนกำไรที่ลดลง QoQ เป็นเพราะผลจากปัจจัยฤดูกาลในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม SCC มองแนวโน้มอุปสงค์ปูนซีเมนต์ในประเทศเป็นบวกน้อยลงกว่าเดิม โดยคาดว่าจะโตแค่ 2-3% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3-5% ซึ่งก็สอดคล้องกับมุมมองของเรา โดยการเติบโตของอุปสงค์จะถูกขับเคลื่อนโดยโครงการภาครัฐ ในขณะเดียวกัน แนวโน้มของวัสดุก่อสร้างอื่น ก็ยังคงซบเซาเนื่องจากอุปสงค์ปูนซีเมนต์ในกลุ่มที่อยู่อาศัย ลดลงเล็กน้อยจากผลของมาตรการ LTV

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (คาดกำไรจากธุรกิจหลักใน 2Q62F จะอยู่ที่ 1.5 พันลบ. (-8.9% YoY, -13.4% QoQ))
Spread ของบรรจุภัณฑ์ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ US$345/ton (-9.7% YoY, ทรงตัว QoQ) โดยเรามองว่าธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะยังคงได้อานิสงส์จากอุปสงค์ และ spread ที่แข็งแกร่ง

ยังคงคำแนะนำถือ และให้ราคาเป้าหมาย SOTP ปี 2562 ที่ 458 บาท โดยคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 3Q62 จะดีขึ้นเล็กน้อย QoQ เนื่องจาก i) การรวมผลการดำเนินงานของ PT Fajar Surya Wisesa (55%) เข้ามาในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (กระดาษ kraft) ii) คาดว่าอุปสงค์ปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น

Risks ความล่าช้าของโครงการก่อสร้างภาครัฐ, ความผันผวนของ spread เคมีภัณฑ์ และ ต้นทุนพลังงาน

 

 

ทิสโก้ แนะนำให้ "ซื้อ" SCC เคาะเป้า 530 บาท

สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ออกบทวิเคราะห์ดปิดเผยว่า แนะนำให้ "ซื้อ" SCC แม้ว่าผลของสงครามการค้าจะกระทบการดำเนินงานโดยรวม (โดยเฉพาะในส่วนของเคมี) โดยเราเชื่อว่าผลกระทบโดยรวมของ SCC จะต่ำกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมปลายน้ำอื่นๆ ด้านต้นทุนของอุตสาหกรรมเคมี (Naphtha และ LPG) มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ในขณะที่กลุ่มปูนและวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มที่ทรงตัว ด้านการดำเนินงานของธุรกิจเคมีมีสัดส่วนของ disposable polymers ที่สูง (โดยเฉพาะ PE) เราปรับประมาณการลง 6% สำหรับปี 2019F เพื่อสะท้อนสมมติฐานราคาเคมีใหม่ และทำให้มูลค่าที่เหมาะสมลดลงจาก 548 บาท เป็น 530 บาท (SOTP) โดยมีความเสี่ยงคือ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และส่วนต่างราคาเคมีที่ลดลง

สงครามการค้าทำให้นักลงทุนกังวลกลุ่มเคมีเพิ่มขึ้น แต่เราเชื่อว่า SCC มีความได้เปรียบจากกลุ่มอุตสาหกรรมปลายน้ำอื่นๆ จากธุรกิจที่มีความหลากหลาย และสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเคมี แต่กลุ่มปูนและวัสดุก่อสร้างรวมถึงกลุ่มบรรจุภัณฑ์เป็นกลุ่มที่ชดเชยปัจจัยลบ และ 2 กลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของการค้าใน ASEAN เราคาดสัดส่วนของเคมีจะอยู่ที่ 51% ของ EBITDA ในปี 2019F ในขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์จะคิดเป็นสัดส่วน 29% และ 17% ตามลำดับ บริษัทได้มีการลงทุนในสินค้า HVA สัดส่วนรายได้ 40% ในช่วง 1Q19 จะช่วยชดเชยผลกระทบของราคาสินค้าโภคภัณฑ์

มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้างภายในประเทศ โดยเฉพาะอุปสงค์ของปูนที่เพิ่มขึ้น 1% YoY ในเดือน เม.ย. - พ.ค. 2019 และแม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น แต่โครงการโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การบริโภคปูนเพิ่มขึ้น และสำหรับในภูมิภาค SCC มองว่า เวียดนามมีโอกาสในการเติบโตในปีนี้ และ อินโดนีเซียจะเริ่มฟื้นตัวหลังผ่านเทศกาลรอมฎอน

คาดว่า SCC จะรายงานผลประกอบการลดลง QoQ เนื่องจากรายการค่าใช้จ่ายพิเศษด้านพนักงาน 2 พันล้านบาท แต่ในด้านการดำเนินงานหลักลดลง QoQ จากธุรกิจเคมีและวัสดุก่อสร้าง แต่จะชดเชยได้จากเงินปันผลรับจากบริษัทลูก โดยเราคาดผลประกอบการของบริษัทที่ 8.6 พันล้านบาท (ลดลง 26% QoQ และ 30% YoY) และกำไรจากการดำเนินงานหลักที่ 1.06 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% QoQ และ ลดลง 11% YoY มีความเสี่ยงเชิงลบคือ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และส่วนต่างราคาที่ลดลง แนะนำให้ "ซื้อ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 530 บาท (SOTP)

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า คาดกำไร 2Q19E ของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC ลด YoY, QoQ จากธุรกิจหลักอ่อนลง และค่าใช้จ่ายพิเศษ ธุรกิจเคมีภัณฑ์มีความเสี่ยงจากสงครามการค้ายืดเยื้อ จึงปรับลดกำไรปกติปี 2019-20E ลง 10-14% ได้มูลค่าพื้นฐานใหม่ 474 บาท (DCF) คงคำแนะนำ "Outperform" คาดปันผล 7.5 บาท สำหรับ 1H19E และแนวโน้มกำไร 3Q19E ฟื้น QoQ ตามฤดูกาลและไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ

 

SCC

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

แนวรบเก็งกำไร By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ แม้สภาพตลาดหุ้นไทย นักลงทุน ยังไม่กลับมา แต่สำหรับแนวรบ หุ้นเก็งกำไร ......

พีทีจี เอ็นเนอยี ส่ง ออโต้แบคส์ เข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เตรียมประกาศความพร้อมการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2024

พีทีจี เอ็นเนอยี ส่ง ออโต้แบคส์ เข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เตรียมประกาศความพร้อมการแข่งขัน PT Maxnitron Racing..

มัลติมีเดีย

NER กางปีก..รับราคายางพาราพุ่ง - สายตรงอินไซด์ - 18 มี.ค.67

NER กางปีก..รับราคายางพาราพุ่ง - สายตรงอินไซด์ - 18 มี.ค.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้