Today’s NEWS FEED

สัมภาษณ์/รายงานพิเศษ

สัมภาษณ์พิเศษ: นรากร ราชพลสิทธิ์ "บู้งานสุดพลัง"

3,566


         "นรากร ราชพลสิทธิ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. ยูเรกา ดีไซน์ EUREKA  กับ 7 เดือนในกระดาน mai " ไม่มีคำว่าท้อ -มีความตั้งใจที่จะบู้กับงานที่ทำอยู่เพิ่มมากขึ้น ไม่มีคำว่า ไม่ไหว ระบุเดินหน้าบุกเต็มกำลังหลังเข้าตลาด ย้ำก่อนเข้าตลาดอยากทำหลายอย่าง แต่เงินจำกัด พอเงินจำกัดก็ต้องเลือก  พอเข้าตลาดได้เงินมา ทำให้สิ่งที่เราอยากจะทำ ก็ทำได้"พร้อมเปิดมุมมองต่อธุรกิจในปีหน้า หวังรายได้แตะ 500 ลบ. สูงกว่าปีนี้ที่หวังทำได้  400 ลบ. ส่วนปี 58 คาดรายได้ก้าวไปแตะที่ 680 ลบ. ผู้บริหารไฟแรงสูง พกความมั่นใจเต็มที่ ย้ำทิ้งท้ายว่า "ผมยังไม่ขายหุ้นส่วนที่หลุดไซเรนพีเรียด 25%เลย" ...................เชิญอ่านบทสัมภาษณ์เต็มๆๆได้เลยคะ





*** 7 เดือนที่ EUREKA  เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นอย่างไรบ้าง***


    ผมมองว่า.............อยู่ในตลาด(ลงกระดานซื้อขายวันแรก 1 มี.ค. 2556) กับอยู่นอกตลาด ต่างกัน โดยประเด็นแรกเลย คือ มีความตั้งใจที่จะบู้กับงานที่ทำอยู่เพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าเมื่อก่อน(ช่วงที่ยังไม่ได้เข้าตลาด) ถ้ารู้สึกว่า ถ้าไม่ไหวก็จะพอแล้ว เราจะเน้นทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น ...บางช่วงในอดีตที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน ในช่วงนั้นเราจะไม่รับงาน เคยหยุดรับงานไป 3 เดือน


***ก่อนที่จะเข้าตลาดมีการเข้าไปยังต่างประเทศที่ไหนบ้าง****


    อินเดีย  อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์



***อีก 2 เดือนจะมีประเทศอื่น เพิ่มเติมอีกไหม***

    ตอนนี้คุยกับมาเลเซียอยู่... โดยอาจเป็นการขายสินค้าเล็กๆ น้อยๆ  แต่หลักๆๆ เรากำลังคุยเรื่องโปรเจคของ Proton



***นอกจากมาเลเซีย EUREKA  มองเข้าไปยังประเทศไหนเพิ่มเติม ***


    ตอนนี้ที่ต่างประเทศ เราเข้าไป 5 - 6 ประเทศ อาทิ อินเดีย  อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย
 

***พอใจไหมกับตลาดต่างประเทศ***


    จริงๆ แล้วตลาดที่อินเดีย และอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ ที่ผ่านมาเราขายไม่มากนัก คือ เราแทบไม่ได้ทำอะไร เราเป็นการขายเชิงรับ  คือ คิดถึงก็ติดต่อมานะครับ...ซึ่งพอปีหน้าจากเดิมที่เราขายเพียงอย่างเดียว......เราจะเปลี่ยนเป็นไปพบลูกค้ามากขึ้น
     สำหรับในปีนี้เพียงแค่เราไปบอกลูกค้าว่าเราจะเปิดสาขาในปี 2557  ลูกค้าต่างประเทศก็ให้ความสนใจ  ดังนั้น บรรดาลูกค้าที่คิดถึงเราก็กลับมาติดต่อเราเพิ่มขึ้น ก็เป็นการเพิ่มยอดของลูกค้าไปในตัว


***เหมือนเป็นการสร้างฐาน***


     ปรับวิธีการทำงานใหม่ ซึ่งที่อินเดียเราขายมาตั้งแต่ 2550 แต่เป็นการขายเชิงรับก็ คือ คิดถึงก็ติดต่อมา แต่.......พอปีหน้าเปิดสาขา มันเหมือนกับว่า เรามาพบเป็นระยะๆ  ด้วยขนาดของประเทศอินเดียใหญ่มาก  คือ ช่วงนี้พอเปิดสาขา บรรดาลูกค้าที่ติดต่อมา ก็จะติดต่อเพิ่มขึ้น บางประเทศที่ไม่เคยคิดที่จะสั่งเรา ก็จะสั่งเราได้แล้ว เพราะเหมือนเป็นการเซอร์วิส มอบโอกาสเข้ามา และผมยังต้องบินไปล่าสุด ก็คือ โปรเจ็คใหญ่ที่เขาบอกว่า อยากคุย อยากดู EUREKA และกลุ่มพัทธมิตรEUREKAจากญี่ปุ่น แต่เขารู้ว่าเราจะไปเปิดตลาด ส่งทีมงานไปโปรโมท พอเขารู้ว่าเราจะไปเปิดที่นี้ เคยคิดว่าเขาจากไม่สั่งแบบนี้นะ มันมีความเสี่ยงเรื่องการบริการ อย่างกรณีอินโดนีเซียก็เหมือนกัน พอเราส่งคนไปโปรโมท ก็เลยมีงานเข้ามา

***เพราะดูๆ แล้ว ถือว่าเข้ามาแล้วคุ้มไหม อยู่ในตลาด 7 เดือนได้ 2 ประเทศ อยู่ข้างนอก นานไหม ถึงได้ 3 ประเทศ ***


    จริงๆ มันก็คนละเรื่องกัน คือ ถ้าไม่เข้าตลาด ปีหน้าก็ไปเปิดสาขาต่างประเทศอยู่ดี นี้คือ ทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามแผน
    แต่มันจะต่างที่ว่า ถ้าไม่เข้าตลาด แล้วไปเปิดต่างประเทศ เรื่องเงินจะลำบากหน่อย คงติดขัดเรื่องเงินหน่อย  ถ้าเข้าตลาด เรื่องเงิน ช่วยให้การทำงานได้ง่ายขึ้น ได้เร็วขึ้น แทนที่จะไปรอเก็บเงิน สะสมเงิน ก็ทำได้เร็วขึ้น เมื่อก่อนเข้าตลาด อยากทำหลายอย่าง แต่เงินจำกัด พอเงินจำกัดก็ต้องเลือก  พอเข้าตลาดได้เงินมา ทำให้สิ่งที่เราอยากจะทำ ก็ทำได้  ความต่างการเข้าตลาดก็คือ 1. ได้เงิน ทำให้เรามีงานต่อได้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง คือว่า ทำให้มีแผนธุรกิจ โดยปีหน้ามีแผนจะไปเปิดสาขา พอเราเข้าตลาดก็ต้องทำตามที่เคยประกาศเอาไว้


***เครื่องมือทางการเงินอื่น EUREKA***


    ปีหน้า EUREKA จะเริ่มโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงานบริษัทจดทะเบียนEmployee Joint Investment Program : EJIP (โครงการสำหรับพนักงาน ผู้บริหาร กรรมการ ของบริษัทดจดทะเบียน ที่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างบริษัทและผู้เข้าร่วมโครงการ โดยจะทยอยลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ตนทำงานอยู่ เป็นรายงวด สม่ำเสมอ ด้วยหลักการเฉลี่ยต้นทุน ( Dollar Cost Average) และสมัครเข้าร่วมโครงการตามความสมัครใจ )
    โดยปีนี้แค่ขอคณะกรรมการบริษัทให้อนุมัติ  ซึ่งเมื่อมีโครงการ EJIP แล้วค่อยๆ ไล่ๆ ไปให้เป็น Step คือ มองว่าพนักงานจะต้องเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท คราวนี้จะทำยังไงให้พนักงานเป็นพาร์ทเนอร์ ก็พยายามดูว่าผลตอบแทนที่ให้กับพนักงาน หรือ มีแรงจูงใจให้เขา ได้ทำงานเต็มความสามารถ แล้วยังเงินเดือน ผลตอบแทน อย่างอื่นแล้ว โครงการแบบนี้ก็เป็นการกระตุ้น EJIPพอเริ่มปีหน้า คือเราออกส่วนนึง พนักงานออกส่วนหนึ่ง ตามสัดส่วน เพราะฉะนั้นพนักงานจะได้มีขวัญกำลังใจแล้วเราก็มองว่าเป็นการทำให้พนักงานมีเงินเก็บตอนเกษียณอายุมากขึ้น
    ปัจจุบันบริษัทเรามีเรื่องประกันสังคม ก็คุยกันว่ามันยังไม่พอสำหรับเกษียณอายุ เราก็พยายามหา หาให้พนักงานมีเงินเพิ่มขึ้นมาอีก การที่มีโครงการ EJIP ก็ช่วยได้ ....โดยโครงการ EJIPเราจะวางทุกๆ 3 ปี แล้วเราจะวางต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพื่อให้งานเพิ่มมากขึ้น พนักงานมาเข้าโครงการแล้ว เรามีความขาดหวังว่า อยากอยู่ต่อให้จบและได้ผลประโยชน์เต็มที่ ถือเป็นการดึงคนไว้ให้อยู่กับบริษัทให้ระยะเวลาหนึ่งด้วย




***สมองไหลไหม หลังเปิด AEC ***
    จริงๆ............AEC กับคนออกไม่ค่อยไม่มีคนออก เพราะว่าอย่างน้อยคนที่ทำงานนี้ได้ หลายๆ คนก็ติดเรื่องภาษาอังกฤษที่ดีพอก็เลยไปไม่ได้ ข้างออกไม่ค่อยไม่ แต่ข้างเข้ามีผล พอบริษัทเปลี่ยนชื่อจาก จำกัด เป็น มหาชน คนก็จะมองคนละแบบ คนจะบอกมั่นคง
    การที่ บริษัท กลายเป็น มหาชน เราสามารถดึงดูคนมาได้เยอะ คนที่แบบคิดว่าไม่น่าจะได้ ก็ได้มา เช่น ดีไซน์เนอร์คนไทยในสิงคโปร์ ทำงานอยู่สิงคโปร์ 7-8 ปี ก็เห็นEUREKA ในแบบเดียวกัน ก็ลาออกจากสิงคโปร์ย้ายมาอยู่ EUREKA  คือเราก็ได้คนที่มีคุณภาพ พอเราเป็นมหาชน เราได้ระดับด็อกเตอร์มา คือ เมื่อก่อนเรามีความสามารถที่จะจ้าง แต่ไม่สามารถจะดึงดูดคนเข้ามา


***มีลูกทรัพย์ที่ดี ถือว่าเป็นเสน่ห์ ****


    พอทุกคนเห็นปุ๊บ จะดูมั่นคงขึ้นมาอีกระดับนึง หลายคนอาจไม่เข้าใจ แต่ก็พยายามอธิบายให้เขาว่าเป็นไง............
    ตอนนี้ถือว่าเราสามารถ รีบูทคนที่จบต่างประเทศได้เยอะขึ้น ก็เป็นนิมิตรหมายที่ดี ตอนนี้คือ สเปค ของเรา คือตั้งแต่เริ่มรับ ในปีนี้คนที่เข้ามา คือภาษาอังกฤษต้องได้ เพื่อปรับให้เข้ากับงานของเรา แล้วพอปีหน้าเราเริ่มไปต่างประเทศมากขึ้น เราต้องการคนเป็นภาษาอังกฤษ อันนี้ คือ สิ่งที่เราต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
    ส่วนพนักงานที่มีอยู่เดิม เราก็มีโครงการกระตุ้นให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ โครงการที่ว่าถ้าจะสอบ บริษัทจะจัดสอบ ถ้าคุณสอบแล้วผ่าน คือ เราสอบสองอย่าง คือพูดกับเขียน มี 3 เรเวล คือเรเวลที่สูงสุดคือ พูดเขียนคล่อง คุณได้เงินเดือนเพิ่มอีก เดือนละ 20,000บาท ถ้าพูดเขียนปานกลาง คุณได้15,000 บาท ถ้าแบบขั้นต้นได้ 10,000บาท
    ส่วนของภาษาอังกฤษ อันนี้ คือ บวกไป ถ้าใครสอบผ่าน ก็ได้บวกไป 10,000- 20,000 บาท ตอนนี้อยู่ในช่วงสมัคร คนนิยมสมัครกันเยอะเลย คนก็จะมาสมัครสอบเพื่อวัดดูว่าตัวเองเป็นยังไง การทีจะให้คนอัปเกรดตัวเอง คนที่ไม่เคย ตอนนี้เริ่มลงเรียน เทคคอร์ดนู่นนี่นั้น ตอนนี้ก็จะเปิดสอบปีละครั้ง


***ปีละ 1 ครั้ง เหรอคะ****

    ปีละ 1 ครั้งเสร็จ แต่ได้เงินเดือนทุกเดือนนะ พอธันวาคมก็สอบใหม่ เราก็เริ่ม เพื่อให้คนที่อยู่เดิมก็สามารถจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ส่วนคนที่มาใหม่จะรองรับภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ก็จะมีผลตอบแทนของเขาอยู่แล้ว

****มีสิทธิพิเศษเหมือนคนเก่าไหม****


    ก็ที่มาและมีภาษาอังกฤษ เราก็จะบวกให้ แยกเป็นก้อนนึง  ส่วนพวกที่มีอยู่เดิม เราก็จะรอรับให้เขาได้มีโอกาสในส่วนนี้ด้วย เพราะตอนนี้การสื่อสารสำคัญ เมื่อก่อนเป็นภาษาไทยอย่างเดียว ปีที่แล้วรับคนต่างชาติเข้ามาทำงานกับเรา ก็ต้องเป็น 2 ภาษา โดยเราค่อยๆ ปรับกันไป

***ต่างชาติมาทำหน้าที่อะไร****


    เรารับเด็กนักศึกษาปริญญาโท AIT เมื่อปีที่แล้ว มาทำงานด้านR&B ตรงบุคคล แล้วก็มีเริ่มทยอยเพิ่มเข้ามา แล้วก็มีคนพูดภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น ต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่ง อย่างรอบแรกนี้เปิดรับสมัคร 100 คน ก็มีคนมาสมัคร 50 คน แล้วมีคนไปซุ่มเรียนอีก เพราะว่าเป็นการลงทุนที่คุ้ม ถ้าคุณสอบผ่าน ได้เดือนละ10,000 บาท 1ปี ได้ 120,000บาท ส่วนเพิ่ม

***ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นไหม ถ้าเป็นแบบนี้**
*

    ถามว่าเพิ่มไหม.... ถ้ามองคนที่จะผ่านคงไม่ได้มีเยอะ แต่เรามองว่าถ้าคนที่เก่งภาษาอังกฤษได้ มันจะประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ปัจจุบันเวลาจะส่งไปต่างประเทศ คนกับปาก เป็นคนละคนกัน คือ คนทำพูดไม่ได้ คนได้พูดไม่เป็น
     ปัจจุบันเราจะส่งคนที่ดูแลภาษาอังกฤษไปด้วยเสมอ แปลว่า มีคนทำกับปากไปด้วยกัน คือ งานมีคนเดียวแต่ต้องไป 2 คน ต่อไปถ้าเป็นคนกับปากอยู่ที่เดียวกัน ก็จะลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะ อย่างตอนนี้เวลาประชุม ก็จะมีปากกับสมอง คือ ไม่ได้อยู่ในคนเดียวกัน ต่อไปก็เริ่มเป็นคนเดียวกัน ก็จะจ่ายขึ้น

****เพราะจุดนี้หรือเปล่า ทำให้ตั้งแต่เดือน9จนถึงปัจจุบัน จาก 3 บาท จะขึ้นไป เกือบ 4 บาทแล้ว***


    อันนี้มันคนละเรื่องกันครับ....


****มองหุ้น EUREKA บนกระดานอย่างไรบ้างคะ ***


    คือ ผลการดำเนินมาครึ่งปีแล้วคิดค่าสัดส่วนแบบนี้ สิ้นปีแบบนี้ P/E  คาดว่าตลาดน่าจะพอซึ่งถ้าผมได้ไตรมาส 3 ออกมา .....สมมุติในทางที่เขาคิด เราก็เป็นการตอบรับว่า ราคาควรจะเป็นยังไง โดยคนส่วนใหญ่ก็จะคิดแบบนี้ ครึ่งปีแบบนี้ ทั้งปีคูณ 2 แล้วคิดกำไรต่อหุ้น คิดที่ P/E  Ratio คำนวณราคามาก็จะรู้ว่า ตอนนี้ราคามี Upsideอยู่ ก็เป็นที่มา

    ทั้งนี้  ผ่านไปครึ่งปีแรกของปี 56 คงมีนักลงทุนไปคำรวณมาว่า ถ้าดูจากสัดส่วนแบบนี้แล้ว อาจจะประเมินค่า P/E ว่าควรไปอยู่ที่เท่าไหร่ และถ้าเมื่อประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/56 นักลงทุนอาจจะไปคำนวณกลับมาใหม่ ว่าราคาควรไปอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งก็เหมือนกับกาสรคำนวณราคาพื้นฐานของหุ้น  




***มีมือที่มองไม่เห็น มาจัดการหรือเปล่าคะ***


    ไม่มีครับ คือ ผมไม่รู้และผมไม่ได้ทำอะไร แต่ดูจากวอลุ่มแล้วยังไม่ใช่หรอก .....วอลุ่มมันบาง ถ้ามีมือที่มองไม่เห็นมา วอลุ่มมันต้องคึกคักมากกว่านี้ ซึ่งผมก็คอยดูมอนิเตอร์วอลุ่มอยู่ ตอนนี้เต็มที่มันก็ 2 ล้านบาท จากเดิมเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ยวันละไม่กี่แสนมาเป็นวันละเป็นล้านๆ เพิ่มขึ้น แต่มันก็ยังไม่ผิดสังเกต ถ้าดูย้อนหลัง 1 เดือน คือ เพิ่มขึ้นมา 20% คงเป็นเพราะว่านักลงทุนรายย่อยจริงๆ ที่เห็นศักยภาพจริงๆ



***แล้วจะมีองค์มาลงไหม***

    คือ ผมบอกว่า อย่างผมเองเนี่ย มีส่วนที่หลุดไซเรนพีเรียด (ติดระยะห้ามขาย) มาแล้ว 25%  ..........ก็ไม่ขายอยู่ดี

***มีคนมาติดต่อไหม***


    มีนักลงทุนมา เยี่ยมชม คือ เราบอกว่า สิ่งที่ EUREKAจะทำมันมีอะไรอีกเยอะ นั้นผลตอบแทนแบบนี้ เราแฮปปี้กับผลตอบแทน มีกระบวนการที่EUREKAจะทำอีกเยอะ เพื่อให้มูลค่าหุ้นมันตอบสนองกับสิ่งที่EUREKAทำ
    มันมีหลาย STEP คือ ผมมองว่าการลงทุนที่ดีจริงๆต้องถือไว้พอสมควร สัก 3-5ปี มูลค่ามันเพิ่มมา ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะฉนั้นองค์มาไม่ค่อยดี พอมาปุ๊บจะเป็นตัวสtกัดเวลาหุ้นไปต่อ อย่างเช่นจะได้แค่ราคาIPO แบบว่าเหมือนจะมีตัวคอยตัดอยู่ตลอด ไม่ได้รีบร้อนอะไร

***10 เดือนปีนี้ ผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง***


    โอเคนะครับ ปีนี้ก็คงทำได้ดี คือ มันพูดว่าดีที่สุด ของทุกปีมาตลอด ก็จะเป็นปีที่มากที่สุด ปีที่แล้วก็พูดแบบนี้ไปแล้ว....แต่ปีนี้ต้องดีกว่าปีที่แล้ว
    ทั้งนี้ มีหลายประเด็น คือ มีความมุ่งมั่น ทีมงานเรามีความมุ่งมั่น เมื่อก่อนเราเน้นพอเพียง ถ้าเราเหนื่อย เราไม่ไหว เราก็พอ พักก่อน ....แต่ก่อนหน้าที่เราลงทุนไปก่อนหน้านี้ 2-3ปี มันก็เริ่มเห็นผล บริษัทก็ทำ 2 ส่วน บริษัท Enjoy กับส่วนที่ได้ พอมีเงินทุน ..ก็พอไปต่อได้...ก็มองว่าน่าจะไปต่อได้อีกเยอะ


***ฉายภาพแผนในปีหน้าของ EUREKA***


       
  EUREKAโชคดีตรงที่ EUREKAกับยานยนต์ จะเกี่ยวกันที่เรื่องดีๆ ถ้ายานยนต์ไม่ดี EUREKAก็ไม่ได้เดือดร้อน ถ้าขายไม่ได้EUREKAก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย รถขายไม่ได้ ก็ไม่ได้เดือดร้อนไรเลย รถที่ขายไม่ได้ก็เสร็จตั้งแต่ปีที่แล้วซื้อเราไปแล้ว จากที่EUREKAทำอยู่ คือ เครื่องจักรที่จะไปทำสำหรับรถรุ่นใหม่ น้ำท่วมรอบที่แล้วก็ทำให้โรงงานรถเยอะ เปิดใหม่เยอะ สร้างอะไรใหม่เยอะ นั้นสำหรับปีหน้าตลาดในประเทศ น่าจะโตขึ้นไปอีก อย่างเช่น ฮอนด้า ก็เปิดที่สระบุรี ปราจีนบุรี ที่โรงงานใหม นิสสัน กำลังทำ มาสด้าจะมาลง ปีหน้ารถโตโยต้ากระบะออกตัวใหม่ พอโตโยต้าออก นิสสันก็ไม่ยอม ตัวใหม่ มาสด้าอีก แล้วตอนนี้รัฐบาลเริ่มมีโครงการเฟส 2 กว่าจะผลิตรถขายให้หลายกลุ่มแล้วยื่นโครงการภายในปีหน้า
         พวกนี้ก็เป็นงาน ตราบใดที่มีการลงทุน นั้น ตลาดEUREKA ก็เป็นตลาดที่ใหญ่ รถขายไม่ได้ แต่ก็มีการทำเยอะอยู่ เมื่อปีหน้าจะกระจายไปต่างประเทศ เราก็แบ่งรายได้จากต่างประเทศเข้ามาช่วยด้วย จริงๆตลาดในประเทศมีเยอะ

           แต่ EUREKA ตัดใจทิ้งบางส่วน เพื่อไปรองรับต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศมูลค่าต่างจากประเทศไทยเยอะมาก เราก็จะตัดบางส่วน เพื่อไปรองรับตลาดต่างประเทศ อันนี้เป็นฐานลองเชิงระยะยาว เพราะว่าเรามองว่าปัจจุบัน ขึ้นกับประเทศไทยอย่างเดียว ค่าตลาดประเทศไทยเปลี่ยน ก็จะมีปัญหาการที่เราไปรองรับต่างประเทศ ก็จะช่วยสนับสนุน ก็มองว่าถึงแม้ตลาดปีหน้าจะโตขึ้น แต่ก็จะรองรับในประเทศเท่ากับปีนี้ ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้แตะ 400 ล้านบาท 

***มองการเติบโตเฉลี่ยไว้ที่***

     เราคาดเติบโตเฉลี่ย  30%ต่อปี โดยปีนี้แตะ  400 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากในประเทศราว  350 ล้านบาท และต่างประเทศราว  50 ล้านบาท และในปีหน้ามองการเติบโตของรายได้มาอยู่ที่  500 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากในประเทศ  400 ล้านบาท และจากต่างประเทศ  100 ล้านบาท 

***มองโอกาสในต่างประเทศ และในประเทศอย่างไรบ้าง***

        เรียกว่าเลือก เลือกที่จะทำให้เหตุผลอะไร เป็นการเหมือนกันการเลือกได้ สมมุตติว่าเราไปกินอาหารบุฟเฟต์ ก็เลือกกิน ถ้ากินให้หมดก็ไม่ไหวเหมือนกัน ก็ต้องเลือกว่าจะกินอะไร กินได้ กินเท่าเดิม เหมือนจะไม่โตนะ แต่เหลือท้องส่วนนึงไปกินอาหารอื่นบ้าง ก็เหมือนไปเน้นต่างประเทศ เพื่อให้ซับพอร์ตด้วย บางทีก็อยากให้ประเทศโตสักนิดนึง
     ...........จริงๆ ในประเทศทั้งหมดเราวางไว้ที่ 400 ล้านบาท แต่ในประเทศเราอยู่ที่ประมาณ 350 ล้านบาท  ถ้ามองลึกจริงๆ ปีหน้าในประเทศ 400 ล้านบาท ก็ถือว่าโตหน่อยนึง โตอยู่ประมาณ10% สำหรับต่างประเทศจาก 50 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท ถือว่าต่างประเทศโตสองเท่า



****มูลค่าประมาณเท่าไรคะ  ที่ต่างประเทศ***


    จริงๆ ต่างประเทศมันง่าย เพราะว่าสมมุติ เราเปิดอินโดนีเซีย เดือนเม.ย. ,อินเดีย เดือน ก.ค.  เวียดนาม  ซึ่งทั้ง 3 ประเทศนี้ รวมกัน100ล้านบาท ถือว่านิดเดียว ตลาดบางประเทศมูลค่ามันใหญ่ อย่างเช่นอินโดนีเซียตลาดเทียบกับไทย อินเดียใหญ่มหาศาล แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ลูกค้ารู้จักมากขึ้น



***จะไปถึง1พันล้านบาท อีกสักกี่ปีครับ ***

   
   
อยากให้ลองคำนวณดูนะครับ..โดยถ้าปี  2558 เราทำได้ 680 ล้านบาท และเรายังสามารถรักษาระดับที่เติบโต30%ไปได้ ก็จะเห็นหลัก 1 พันล้านบาทได้ ........แต่ถ้า ณ เวลานี้ การตลาดไม่ได้เป็นปัญหา  ปัญหาอยู่ที่ว่ากำลังการผลิตเรารองรับได้ไหม ถ้ากำลังการผลิตปัจจุบัน ในปีหน้าตั้งเป้า500ล้านบาท สมมุติถ้าไม่ทำอะไร ไปเรื่อยๆ ถ้าโตก็10% คงต้องใช่เวลา สัก4-5ปี นี้ก็จะเป็นปกติ เพราะตั้งเป้าโต 30% โดยเฉลี่ย ถ้ามันมีทางอื่นที่เกิดขึ้นมาก็จะเป็นไปได้หลายอย่าง เพิ่มกำลังการผลิต ได้หลายอย่าง เช่น สามารถรีบูทคนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนสามารถทำงานได้ทันทีหรือแม้กระทั่งมีบริษัทที่ไม่อยากทำแล้วแต่ให้เราเข้าไปช่วยก็เป็นไปได้ ตอนนี้เราก็ขยับอยู่ดูว่าเส้นทางไหนเราสามารถเข้าไปได้บ้าง โดยที่ว่ามั่นคงด้วย เราก็จ้างที่ปรึกษาดูเรื่องนี้อยู่ด้วย เราก็อยากให้มันโต

            โจทย์มันคือ2 อย่าง คือ โตแบบปกติ มันต้องทำอย่างไรบ้าง ปกติยูไมก้า ทุกๆ ปีจะเกิน 30 % แต่ตอนนี้เราตั้งเป้าว่าปกติเท่ากับ30 % ก่อน ว่าทำอย่างไรบ้าง โตแบบไม่ปกติ สมมุติตลาดต่างประเทศมันใหญ่ ถ้าเราโตแบบปกติเราอาจจะไปเซิฟเขาได้ในเวลาที่เพียงพอมันอาจใช้เวลาหลายปี ถ้าเราโตผิดปกติทำให้เราสามารถทำกิจกรรมต่างประเทศได้เร็วขึ้นก็ได้ ตามที่เราคาดไว้ เพราะกิจกรรมต่างประเทศ ก็เป็น1ในจุดที่บอกว่า เราตั้งไว้ว่าต่างประเทศต้องมี30%ของรายได้ ต้องมาดูว่า ในแผนของเราต้องได้สัก50-50 ต่างประเทศก็ต้องโตเพิ่มขึ้น



**** EUREKA อยากโตแบบธรรมดา หรือ อยากโตแบบพิเศษ****


 
   เรา.......กำลังจ้างที่ปรึกษา (  BUSINESS NAVIGATOR CONSULTING)ทำการวิเคราะห์อยู่ว่าถ้าโตแบบพิเศษ ต้องทำอย่างไรบ้าง หรือการเติบโตแบบธรรมดาเป็นอย่างไร โดยคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปไม่เกินกลางปีหน้า 
    .........ถ้าถามว่าตอนนี้ให้ดูจากสภาพดีกว่า มองธุรกิจที่เราทำอยู่ดีกว่า ธุรกิจยานยนต์ในไทย น่าจะรองมาจากธุรกิจยานยนต์ที่ญี่ปุ่น สภาพในไทยวันนี้มันจะเหมือนในญี่ปุ่น เมื่อ10ปีที่แล้ว เมื่อ10ปีทีแล้ว ดูวุ่นวายมาก เพราะเศรษฐกิจตอนนั้นคือ ดีมากๆ ต่อมาเมื่อสัก2-3ปี ย้อนหลังผู้ผลิตเครื่องจักรที่ญี่ปุ่นเซ้งเพียบ เพราะไม่มีงานทำ แต่มีผู้ผลิตกลุ่มออกจากญี่ปุ่นเมื่อ10กว่าปีที่แล้ว ออกจากญี่ปุ่นไปอยู่อเมริกา ยุโรป ไทย พอถึงวันนี้เมื่อ 2-3ปีก่อนที่จะญี่ปุ่นจะแย่สุดๆ พวกนี้คือพวกที่สบาย เราก็กลับมาEUREKA เราว่าเหตุการณ์น่าจะคล้ายๆกัน ไม่เกิน 10ปีจากนี้ไป ธุรกิจที่อยู่ในไทย น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นเมื่อ 2-3ปี พอเรามองแบบนี้การเอาตัวรอด คือการไปต่างประเทศ การที่เรามองแบบนี้ เราก็จะเก็บสะสมทุนให้ไว้กับตัวมากๆ เมื่อถึงวันที่มีปัญหา มันก็จะเป็นช่องทางรอดทางหนึ่ง

                 นอกจากเรามีรายได้หลายทาง คือเราได้เยอะ เราก็ไม่มีปัญหา นี้คือ 1 ทาง ต่อมาวิกฤตเศรษฐกิจโลก มันก็เกิดมาทุกๆ10ปี มันก็มาอีก เดี๋ยวมันก็มาอีก การสะสมเพื่อเตรียมรับ ถ้าสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องลงแรงเกิน เหนื่อยผิดมนุษย์มากหนัก เราก็อยากจะพยายาม ถ้าถึงเวลานั้น เศรษฐกิจโลกมา เราก็สามารถอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย เพราะเศรษฐกิจโลกมามันก็จะกระทบไปทั่ว ถ้าเกิดไม่เกี่ยวกับธุรกิจโลก เอาแค่ธุรกิจยานยนต์ในไทย ถึงวันที่ไม่มีใครอยากจะลงทุนเพิ่ม เราอยากจะลงทุนในพม่า ลาว กัมพูชาแทน เราก็น่าจะพร้อมเพราะเราก็จะทยอยออกไป ก็เหมือนเราว่ามีการเตรียมการล่วงหน้า

                  ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นเป็นตัวไกด์ให้เราตัดสินใจ ตอนนี้คนญี่ปุ่นอยากจะมาทำเครื่องจักรในประเทศไทยเยอะมาก จะมาแต่ก็อยู่รอดลำบาก คู่แข่งของคุณเองที่เป็นคนญี่ปุ่นที่เขาอยู่ที่นี้เป็น10ปีแล้ว แล้วจะเอาคนไหนไปทำ กว่าจะสอนคนได้ ตลาดมันก็คงเลิกแล้ว อันนี้ก็เป็นตัวสอนเรา ในการที่จะเตรียมการเรื่องนี้ เราก็ใช้วิธีนี้ให้การเตรียมการ

*****บริษัทที่ปรึกษาคือ*****
    บริษัท BUSINESS NAVIGATOR CONSULTING (BNC)ซึ่งเป็นของคนไทย เขาได้รับทำงานให้บริษัทชั้นนำเยอะ กสิกรไทย เขาเป็น CONSULTING ของคนไทย
    อย่างปีที่แล้วเราจ้างเขาให้ดูกระบวนการทำงานปัจจุบันของเรามีปัญหาตรงไหนบ้าง มีพีอาร์ มีบิสเนส ให้ช่วยมาดูสิว่ากระบวนการทำงานของเราควรจะปรับยังไงบ้าง แล้วเขาก็วางทางยุทธศาสตร์มาให้ 3 ปี ซึ่งตอนนี้เราก็เดินตามยุทธศาสตร์ของปีที่แล้วอยู่ โดยเดิน2556, 2557 และปี 2558  ก็คือ 1 เรื่องแล้ว
    ปีนี้ก็จ้างเขาว่า ถ้าเราอยากจะโต แบบธรรมดาต้องทำยังไงบ้าง โตแบบไม่ธรรมดาต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งอันนี้เราเพิ่งจะเซ็นสัญญาว่าจ้างให้ดำเนินการ คงต้องใช้ระยะเวลาในการดูสัก 6 เดือน ว่าจะตอบคำตอบมาว่า โตแบบธรรมดาต้องทำยังไง ไม่ทำธรรมดาต้องทำอย่างไง

***พอใจกับสภาพคล่องของหุ้นไหม*****


    หุ้นจะดีไม่ดีต้องมีคนซื้อขายด้วย ต่อให้บริษัทดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่มีคนซื้อขายก็ไม่โอเค ตอนนี้ในตลาด ทั้งตลาดใหญ่ หรือ ตลาดเล็ก การที่ทำให้คนมาซื้อบริษัทหุ้นมีหลายประเด็น มูลค่าที่ซื้อขายอยู่คนเขาก็มองตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
     mai ส่วนใหญ่จะต่ำล้าน เกินล้านไม่ค่อยมีเท่าไร และก็มีบางตัวที่เป็นตัวจี๊ด  แสดงว่าตลาด mai ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้ ส่วนใหญ่ต่ำกว่าล้านบาทไม่ได้อะไร จริงๆ แล้ว mai ไม่ได้ดึงดูด ก็จะต้องดูว่าบริษัทที่อยู่ใน mai  มีคนลงทุน มีหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เขาทำกันยังไง มีหลายกรณี  เราก็ดูกรณีที่เป็นตัวอย่างที่ดี ดูบริษัทที่น่าเชื่อถือจริงๆ วิธีที่ดีก็คือว่า คนอยากซื้อขาย มีกิจกรรม ตลอดเวลา
    เราก็เลือกวิธีนี้คือ เราจะเป็นบริษัทที่เข้าตลาดแล้ว ไม่หายไปไหน ไม่เงียบ คือมีบางบริษัทที่เข้าแล้วเงียบไป ไม่ใช่เรา บางบริษัทคือจะดังก็ต่อเมื่อ อยากให้ราคาขยับ เราเลือกวิธีการคือเราจะต่อเนื่อง เราจะสื่อสารอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะบอกว่านี้ คือ
EUREKA ที่แท้จริง กระบวนการสื่อสารกันต่อเนื่อง มันไม่ใช่แค่ปีเดียว พอเราสื่อสารกันต่อเนื่อง ให้นักลงทุนทราบความเคลื่อนไหว ทราบข่าวคราวอย่างต่อเนื่อง มันก็ทำให้ เข้าใจว่าจะรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้ เข้าใจ และเราจะไม่เงียบ แต่ไม่ใช่พวกที่แบบ มาเป็นพักๆแล้วหาย มาเป็นรอบๆ ก็มองว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ต้องใช้เวลา แต่เป็นวิธีที่ดีและทำให้เราก็ไม่ลำบากใจ นักลงทุนก็ไม่ลำบากใจ
    EUREKA เราจะมีข่าวสารออกมาตลอดเวลา มีอะไรก็แจ้งให้ทราบรายละเอียด ต้องมาดูแผนธุรกิจจริงๆ ...ถ้ามองภายในแวดวงข่าวเกี่ยวกับเรื่องหุ้น ข่าวธุรกิจ อย่างเช่นยกตัวอย่างในเครือซีพี ซีพีก็มีข่าวตลอด เป็นบริษัทที่มีข่าวตลอด เรื่องหุ้น จะมีการดูแลตลอด เลยมองว่าการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ
     EUREKA ก็อยากสม่ำเสมอ สื่อสารไปเรื่อยๆ ตามกำลังที่ EUREKA มีนะ ....จะสื่อสารไปเรื่อยๆ พอสื่อสารไปเรื่อยๆ ก็จะมีคุ้นเคย พอคุ้นเคยเสร็จ เพราะเวลาลงทุน นอกจากจะมีกลุ่มประเภทรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเข้าใจมัน แล้วมันก็ต้องดู โอกาสก็จะตามมา ก็มีการซื้อขาย มีคนสนใจ ถ้าเป็นของดีจริง แล้วรับรู้ต่อเนื่องยาวนานก็แบบหนึ่ง


***มุมมองในสิงคโปร์***

    ตอนนี้สิงคโปร์ มี 2 แผน ก็คือ แผนแรก มันเป็นHolding  ซึ่งเราตั้งHolding สิงคโปร์ไว้ ซึ่งบริษัทฯ ก็จะใช้สิงคโปร์เป็นตัวขยับภาษี เพราะภาษีมันจะต่างกัน ตอนนี้เผอิญEUREKAไทยกว่าจะหมดการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อีก 5 ปี เป็นแผนการที่เตรียมไว้ก่อนตั้งแต่ตอนแรก มันก็ดีกว่า เพราะการที่ตั้งสิงคโปร์ขึ้นมาก่อนให้เป็นโครงสร้างที่มันถูกต้อง ช่วงนี้ตรงการขายก็ขายที่ EUREKAไทยไปต่างประเทศ

    ถ้าในมุมมองของการขายสินค้านั้น เวลาขายสินค้า  แทนที่อินโดนีเซียไปพบลูกค้า แทนที่จะขายทางอินโดนีเซียเราไม่ขาย.... โดยเราจะขายในงานไทยเหมือนเดิมแต่เวลาคนช่วยทำงาน อินโดนีเซียช่วยเพราะตรงนี้เราได้ประโยชน์จากการขายBOI แต่พอBOIหมด ก็เป็นอินโดนีเซียขาย พอรายได้อินโดนีเซียมาก็จะสวิสไปสิงคโปร์ สิงคโปร์ก็ปันผลมาไทย อย่างนี้ ภาษีมันจะประหยัดกว่า เป็นการวางเรื่องของภาษีในอนาคต


---จบ---
By:ธนัสสรณ์ เปี่ยมสมบูรณ์ /นวลแพร นาประจุล
 

บทความล่าสุด

CFARM จับมือ APM UOBKH และ BYD ประเดิมโรดโชว์ให้ข้อมูลนักลงทุน จ.ชลบุรี

CFARM จับมือ APM UOBKH และ BYD ประเดิมโรดโชว์ให้ข้อมูลนักลงทุน จ.ชลบุรี

ผถห. SSP ผ่านฉลุยจ่ายปันผล 0.10 บาท/หุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุยจ่ายปันผล 0.10 บาท/หุ้น

โมเมนตัม By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็น SET ต้นสัปดาห์ มีโมเมนตัมดูดี วอลุ่มขยับ แบบชวนฝัน พาให้จินตนาการ จะไต่ขึ้นไปสู่ 1400 ....

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้