
บล.ไทยพาณิชย์ คงมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ คาด SET index จะพลิกฟื้นในไตรมาส 3 และขยับเข้าสู่เป้าหมาย 1900 จุดภายในสิ้นปี-เซียนหุ้นทิสโก้ เปิดของดีหุ้นเด็ด ครึ่งปีหลังBTS , COM7 , NYT , PLANB , ROJNA , STEC , SEAFCO และ SPA บล.กสิกรไทย คงเป้าดัชนีตลาดสิ้นปี 1,898 จุด เหตุปัจจัยการเลือกตั้ง-ศก.ตลาดเกิดใหม่ฟื้น-สงครามการค้า คลี่คลาย หนุน
นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 4.8%YoY ในไตรมาสแรกของปี 61โดยเติบโตสูงกว่าที่ตลาดคาด (4.0% YoY) และค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 4.25% ในขณะที่เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสเศรษฐกิจไทยก็ขยายตัว 1.3% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ดี และกระจายตัวในหลายธุรกิจ เช่น ผลผลิตสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.5%YoY ในขณะที่ผลผลิตนอกกลุ่มสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.7%YoY

โดยมีธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร (5.8% ของ GDP) เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 12.8%YoY สอดคล้องกับธุรกิจท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้อุปสงค์ในประเทศ ทั้งการบริโภคและลงทุนต่างก็มีโมเมนตัมที่ดี ซึ่งหากแนวโน้มเช่นนี้ยังดำเนินต่อไปจะทำให้เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ดีและต่อเนื่องไปในอนาคตด้านเศรษฐกิจต่างประเทศดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มจะแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% มาตั้งแต่กลางเดือนเม.ย. โดยล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 93.5-94.5 ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะหลังนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยทางพื้นฐานมากกว่าปัจจัยทางเทคนิค ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2561 ที่ 2.4% ในช่วงต้นเดือนม.ค. ขึ้นมาอยู่ที่ 2.9% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2557 เชื่อว่าเทรนด์นี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามอัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการเติบโตของค่าจ้างและการตึงตัวของตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ดันอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรไทยปรับขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ล่าสุดดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ ก็สูงกว่าพันธบัตรไทยไปแล้วซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2559
ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยอัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจาก 31 บาท/ดอลลาร์เมื่อปลายเดือนมี.ค. มาอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับแต่เดือน พ.ย. 2560 โดยปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน THB/USD ที่สำคัญที่สุด คือ ตัวดอลลาร์เองที่แข็งค่าขึ้น นอกเหนือไปจากปัจจัยอื่นๆ เช่นผลต่างอัตราดอกเบี้ย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ และดุลบัญชีเดินสะพัด ทั้งนี้อีกปัจจัยที่จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนที่เผชิญกับแรงเสียดทานหลายอย่างในเดือนที่ผ่านๆ มาเริ่มตั้งแต่สภาพอากาศที่ย่ำแย่ อุปสงค์ที่ชะลอตัวลง ข้อจำกัดทางด้านอุปทาน และปัญหาการเมืองในบางประเทศหลักๆ ในอิตาลี ส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปีนี้และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวนับถึงปัจจุบัน ทำให้เมื่อเทียบกันเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไปความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตามองและกำลังส่งผลกระทบต่อตลาดตอนนี้คือ นโยบายประชานิยมในรูปแบบที่ก่อให้เกิดการกีดกันทางการค้า โดยเห็นกันมาแล้วตั้งแต่การโหวต Brexit การมีข่าวเรื่องอาจมีการแยกตัวจากสหภาพยุโรปของสมาชิกบางประเทศ ต่อเนื่องมาจนถึงสหรัฐฯ ที่นอกจากจะมีเรื่องสงครามภาษีกับจีนแล้ว ยังหันมาขึ้นภาษีกีดกันทางการค้ากับประเทศพันธมิตรอย่างเพื่อนบ้านแคนาดาและเม็กซิโก ไปจนถึงพันธมิตรในยุโรป

ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ภาวะนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นอย่างการขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองว่าสุดท้ายจะมีการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงกันได้ เพียงแต่ในช่วงนี้ข่าวสารต่างๆ น่าจะยังส่งผลลบต่อตลาดอยู่แนวโน้มตลาดและ top picks ในไตรมาส 3/61 การปรับตัวลดลงของ SET index มาตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/61 ส่งผลทำให้ valuation ของ SET ลดความแพงลง โดยอัตราส่วน 12-month forward PE ratio ลดลงจากราว 16 เท่ามาสู่ 14 เท่า โดยเรามองว่าน่าจะเห็นการรีบาวด์ในไตรมาส 3/61 ตามพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ดี สภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง โดยหุ้น top picks ประจำไตรมาส 3/61 ของเราจึงจัดทัพรับเรทขึ้น เน้นหุ้นที่ราคายังขึ้นน้อยกว่าตลาดและมีปัจจัยสนับสนุนจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าวหลัก ๆ คือ
กลุ่มส่งออก และ กลุ่มธนาคาร
- BBL: ได้ประโยชน์มากที่สุดจากแรงส่งเศรษฐกิจ รายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโตโดดเด่น ROE จะกลับขึ้นมาอยู่ในระดับก่อนวัฏจักร NPL ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น
- KTB: กลับมาขยายสินเชื่อเพิ่มพร้อมกับตั้งสำรองลดลง valuation น่าสนใจที่ PBV 0.8 เท่า (-1SD) ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น
- HANA: ราคาหุ้น และ valuation ล้าหลังกว่าตลาด จะได้รับประโยชน์จากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าและความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังเติบโตดี
- KCE: ราคาหุ้นล้าหลังกว่าตลาด รับประโยชน์จากดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบที่มีเสถียรภาพและปัญหาคอขวดการผลิตที่คลี่คลายลงจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงาน
- CPF: ราคาหุ้นล้าหลังได้ประโยชน์จากดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ธุรกิจหมูมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 2/61 และกำไรจากการแปลงสภาพหุ้นกู้อนุพันธ์ (EB) จะช่วยกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับขึ้น
- TU: ราคาหุ้นล้าหลัง แต่กำไรจะกลับมาเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 2/61 หลังจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง ได้ประโยชน์จากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า

เซียนหุ้นทิสโก้ เปิดของดีหุ้นเด็ด ครึ่งปีหลัง
สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์กีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงมีพัฒนาการในทางลบต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว และคาดว่าจะสร้างความผันผวนแก่ตลาดหุ้นต่อไป โดยเฉพาะตลาดหุ้น EM ในภูมิภาคนี้ เพราะล่าสุด สหรัฐฯประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 10% อีกมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเพิ่มเติมจากเดิมมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ที่เรียกเก็บภาษีอัตรา 25% (กลุ่มแรกมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา และที่เหลืออีก 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ น่าจะมีผลบังคับใช้ในกลางเดือนหน้า) โดยมาตรการนี้จะเข้าสู่กระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณะ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน และจะมีผลบังคับใช้ได้อย่างเร็วที่สุดในช่วงต้นเดือน ก.ย. เรามองสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีอัตรา 10% นี้จะเผชิญกระแสคัดค้านมาก
เนื่องจากเป็นรายการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคมากขึ้นและยากที่จะแบ่งจำแนกที่มาเป็นรายประเทศได้ ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ อย่างไรก็ดี ในกรณีที่การกีดกันการค้าดังกล่าวมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ เราประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกไทย (ทั้งผลกระทบทางตรง และผลกระทบทางอ้อม) เป็นมูลค่ารวมประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 1.2% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด และจากการประเมินผลกระทบในแง่ของมูลค่าส่วนเพิ่มจากการผลิตสินค้าเหล่านี้ จะคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.3%สำหรับการเมืองในประเทศ เราเห็นหลายสัญญาณที่บ่งชี้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปีหน้า นอกจากเรากำลังรอการประกาศใช้พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครบทั้ง 4 ฉบับในเดือน ก.ย. นี้แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินสายประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรตามจังหวัดต่าง ๆ ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา

รวมทั้งในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ จะมีหลายฝ่ายเห็นว่ามีนัยสำคัญทางการเมือง นอกจากนี้ การที่รัฐเตรียมออกมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ให้กับผู้มีรายได้น้อย และรองนายกฯ สมคิดสั่งให้กระทรวงคมนาคมเร่งโครงการลงทุนต่าง ๆ ภาครัฐในช่วง 7-8 เดือนข้างหน้านี้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ล้วนเป็นสัญญาณปูทางเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดการที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเลือกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใหม่ 5 คนจากที่เสนอมา 7 คน ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการทำหน้าที่ตามพ.ร.ป. กกต.ฉบับใหม่ ทำให้เรามองโอกาสเกิดการเลือกตั้งในปีหน้าจะเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้นสำหรับแนวโน้มการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/18F คาดจะออกมาดี จากการรวบรวมประมาณการผลประกอบการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ทั้งหมด 151 บริษัท(ณ วันที่ 17 ก.ค.)
ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 83% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดของหุ้นใน SET และ mai คาดว่าจะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.32 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% YoY แต่ลดลง 10% QoQ การเพิ่มขึ้น YoY หลัก ๆ มาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น 4 ไตรมาสติดต่อกัน ช่วยหนุนกำไรในกลุ่ม ENERG (+21% YoY), PETRO (+101% YoY) และฐานกำไรที่ค่อนข้างต่ำในปีที่แล้ว ส่วนการลดลง QoQ มาจากผลกระทบด้านฤดูกาล ด้วยความผันผวนหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทยขณะนี้มาจากปัจจัยภายนอก เราเชื่อว่าหุ้นที่มีลักษณะ "3Ds" จะมีความปลอดภัย โดย D แรก คือ "Domestic" เป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศ, D ที่สอง คือ "Defensive" เป็นหุ้นที่มีความมั่นคง-แน่นอนในรายได้และผลประกอบการสูง ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก และ D ที่สาม คือ "Dividend" เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลดีสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น หุ้นเด่น (Top Picks) ที่เราแนะนำในครึ่งปีหลัง คือ BTS , COM7 , NYT , PLANB , ROJNA , STEC , SEAFCO และ SPA
ส่วนหุ้นแนะนำประจำเดือน ก.ค. คือ ANAN , INTUCH , IVL , KKP , MINT และ SCC

กูรูบล.กสิกรไทย คงเป้าดัชนีตลาดสิ้นปี 1,898 จุด
เหตุปัจจัยการเลือกตั้ง - ศก.ตลาดเกิดใหม่ฟื้น
สงครามการค้า คลี่คลาย หนุน
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเป้า SET INDEX สิ้นปี 2561 ที่ 1,898 จุด เนื่องจากปัจจัยหลัก คือการเลือกตั้งในประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2562 ซึ่งสามารถเกิดได้เร็วที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ และอย่างช้าที่สุด เดือนพฤษภาคม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการกระบวนการทางกฎหมาย คาดว่าจะสามารถจะประกาศกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนได้ในเดือนพฤศจิกายน 2561 และปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ตลาดเกิดใหม่ไม่เห็นภาพของการชะลอตัวอย่างรุณแรง เนื่องจากหลายๆประเทศก็ได้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถช่วยผลักดันนโยบายต่างๆที่ทำให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวนอกจากนี้ยังมีปัจจัยข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา กับอีกหลายประเทศ
โดยเฉพาะกับจีน คาดว่าหลังจากผ่านการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ จะสามารถคลี่คลายลงได้ และคาดว่าในเดือนสิงหาคมนี้ จะสามารถเห็นภาพของการเจรจาระหว่างกันได้ เนื่องจากที่ผ่านมาการตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิปบดีโดนอลล์ ทรัมป์ เป็นการกระทำเพื่อเรียกคะแนนความนิยมจากฐานเสียงเดิม ซึ่งเมื่อมีการตั้งกำแพงภาษีคะแนนความนิยมของทรัมป์ได้กลับมาดีขึ้น ถือเป็นการยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทรัมป์ ทำนั้นประสบความสำเร็จต่อการเรียกคะแนนความนิยมดังกล่าวในทางกลับกันหากปัจจัยต่างๆข้างต้นไม่เกิดขึ้น โดยการเลือกตั้งไม่เกิดขึ้นในปี 2562 เศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่มีการชะลอตัวอย่างรุณแรง และข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นๆลุกลามไปเป็นสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทฯคาดว่าจะส่งผลให้ SET INDEX ยืนอยู่ที่ระดับ 1,423 จุด โดยแบ่งเป็นผลกระทบสงครามการค้า ส่งผลต่อเป้าดัชนีที่ -314 จุด ส่วนการไม่มีการเลือกตั้งส่งผลที่ -88 จุดและเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่ชะลอตัวส่งผล -47 จุดในแง่ของค่าเงินบาท บริษัทฯได้ปรับประมาณการในปี 2561 เป็น 32.5-33 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์

สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน บริษัทยังคงแนะนำการลงทุนที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ จากการที่หนี้สงสัยจะสูญ (npl) ของธนาคารพาณิชย์ใหญ่มีการปรับตัวลดลง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทิศทางที่แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนลง และสอดคล้องกับกระแสการค้าโลก
โดยมีหุ้นที่แนะนำ ดังนี้
-กลุ่มธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ให้ราคาเป้าหมายที่ 224 บาท ,KTB ให้ราคาเป้าหมายที่ 20.50 บาท ขานรับอานิสงส์แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
-กลุ่มไม่ใช่ธนาคาร ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ให้ราคาเป้าหมายที่ 48 บาท จากการรุกขยายสาขาเพิ่มเป็น 2900 สาขาในปีนี้ ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างชัดเจน
-กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ให้ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท, บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ให้ราคาเป้าหมายที่ 12.90 บาท, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ให้ราคาเป้าหมายที่ 10.20 บาท . บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ให้ราคาเป้าหมายที่ 27 บาท, บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ให้ราคาเป้าหมายที่ 3.90 บาท จากการลงทุนรถไฟฟ้ามากขึ้น ส่งผลให้มีการออกโครงการต่างๆเพิ่มขึ้น โดยในครึ่งปีหลัง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะออกโครงการรวมกันมูลค่ากว่า 240,000 ล้านบาทเฉลี่ยไตรมาสละ 120,000 ล้านบาท
- กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ให้ราคาเป้าหมายที่ 100 บาท ,บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ให้ราคาเป้าหมายที่ 12 บาท
จากการขับเคลื่อนของภาครัฐบาลที่มีการจัดตั้งกองทุนประชารัฐในการอัดฉีดเงินไปสู่ประชาชนฐานล่าง ซึ่งจะช่วยหนุนกำลังซื้อให้เติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านนายกำพล อดิเเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การที่ดัชนี SET จะสามารถขยับขึ้นไปที่ 1898 จุด ได้นั้น ปัจจัยหลักๆที่ส่งผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยบริษัทฯได้ปรับประมาณการ GDP ในปี 2561 เพิ่มเป็น 4.5% จากเดินที่ 4.0% และคงประมาณการ GDP ในปี 2562 ที่ 4.2% จากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เติบโตแข็งแกร่งกว่าคาดประกอบกับการลงทุนของภาครัฐในช่วงครึ่งปี หลังมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ การกำหนดการออกร่าง TOR และการเปิดประมูลโครงการต่างๆเป็นจำนวนมากส่วนภาคการบริโภคในประเทศ คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากค่าจ้างนอกภาคการเกษตรที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และภาคการเกษตร คาดว่ารายได้เกษตรกร เริ่มสร้างฐานในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อมีการฟื้นตัวขึ้น ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีผู้ผลิต