สำนักข่าวหุ้นอินไซด์  (13 กรกฏาคม 2561)   ตลท. จับมือ กบข. ส่งเสริมการลงทุนในหุ้นยั่งยืน / กบข. ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยเป็น 7% จาก 9% หลังตลาดหุ้นผันผวน ประเมินปีนี้ผลตอบแทนเหลือ 2-3% เผย ก.ย.นี้ ตั้งกองทุน ESG-Focused Portfolio มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 พันลบ. 

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งมั่นส่งเสริมการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ ภายใต้วิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ส่งเสริมให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนแบบยั่งยืน และเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลการลงทุนในหุ้นยั่งยืน จึงได้พัฒนาดัชนี SET THSI ซึ่งประกอบด้วย 45 หลักทรัพย์ ที่มีความโดดเด่นในการดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ขึ้นมา โดยดัชนีดังกล่าวสามารถใช้ในการอ้างอิง (benchmark) สำหรับการลงทุนในพอร์ตที่เน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืน รวมถึงนำไปอ้างอิงเพื่อต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินในอนาคต

“ความร่วมมือการส่งเสริมการลงทุนในหุ้นยั่งยืน ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดทุนไทยที่ผู้ลงทุนสถาบันรายใหญ่ของประเทศได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนการลงทุนในหุ้นยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม โดยนำดัชนีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาขึ้นมาใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุน นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังร่วมมือกับ กบข. ในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินการลงทุนแก่สมาชิก กบข. ซึ่งมีจำนวนกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ให้สามารถบริหารเงินออมผ่านกองทุน กบข. และทางเลือกการลงทุนอื่นๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายเกษียณที่ต้องการได้” นายภากร กล่าว

นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. มีการบริหารเงินลงทุนอย่างรับผิดชอบโดยยึดหลัก ESG ซึ่งเชื่อมั่นว่าเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ลดความเสี่ยง และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ธุรกิจและสังคม ทั้งนี้ กบข. ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างรับผิดชอบโดยยึดหลัก ESG เริ่มจากเดือนกันยายนปีนี้ จะจัดตั้งกองทุน ESG-Focused Portfolio มูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้านบาท เพื่อลงทุนในตราสารทุนในประเทศ โดยใช้ดัชนี SET THSI เป็นตัวเทียบวัด และจะขยายกองทุนนี้ไปต่างประเทศในปีหน้า ส่วนเรื่องความร่วมมือให้ความรู้ทางการเงินเพื่อการเกษียณอย่างมีความสุขสำหรับข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข. นั้น คาดหวังว่าจะนำองค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ความรู้สมาชิก กบข. ด้านการออมเพื่อวัยเกษียณ โดยมีเป้าหมายให้สมาชิกมีเงินออมยามเกษียณที่เพียงพอ

ทั้งนี้ ดัชนี SET THSI ช่วยให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลการลงทุนในหุ้นยั่งยืนและสนับสนุนให้ผู้ลงทุนสถาบันนำดัชนีไปอ้างอิงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเป็นดัชนีอ้างอิงเปรียบเทียบผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืน โดยดัชนี SET THSI คำนวณมาจากหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล และคัดเลือกมาจากหุ้นที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนหรือ Thailand Sustainability Investment List ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/SETTHSI

สำหรับปัจจุบัน กบข.มีการบริหารสินทรัพย์รวม 8.6 แสนล้านบาท โดยมีการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ 4% และตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว 8% และถือครองพันธบัตรไม่ต่ำกว่า 60% ปัจจุบัน กบข. ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยจากเดิม 9% ลงมาเหลือ 7% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวน ซึ่งกบข. ได้มีการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 2561 ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ กบข.ได้ลดระยะเวลาเฉลี่ยในการถือครองตราสารหนี้ในพอร์ตเป็น 1.8 ปี จากเดิม 3 ปี เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังหากสงครามการค้าได้คลี่คลายลง ก็จะกลับไปลงทุนในหุ้นไทยเช่นเดิมซึ่งจะทำให้สัดส่วนการลงหุ้นไทยอาจกลับมาเป็น 9% เช่นเดิม

ทั้งนี้ ความผันผวนจากตลาดการเงินโลก ส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) รวมถึงประเทศไทย มาจากปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ยังกดดันและอาจจะขยายวงกว้างขึ้นในช่วง 2 เดือนข้างหน้า ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนในช่วงสั้นแต่เชื่อว่าความผันผวนคงเกิดในช่วงสั้น โดยในระยะกลาง-ระยะยาว เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่ดี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลทยอยออกมา ประกอบกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง จึงอาจจะเป็นโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะยาว นายวิทัย กล่าวเพิ่มเติมว่าผลตอบแทนปีนี้จะลดลงเหลือเพียง 2-3% จากปีก่อนที่ทำได้ 6.4% แต่ยังคาดว่าปีนี้จะเพิ่มสินทรัพย์ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท