(1)HotNews: เจาะงบแบงก์
กำไรQ1/61 โต1.04%
แบงก์เล็กกำไรวิ่งฉิว
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 20 เมษายน 2561)-------- กลุ่มแบงก์ ดีเดย์ประกาศงบไตรมาสแรก ปี2561 เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยตัวเลขที่โชว์ออกมา ทั้งกลุ่มมีกำไรสุทธิรวม 5.25 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.19 หมื่นล้านบาท แบงก์ที่ทำผลงานสร้างชื่อลือชา คือแบงก์เล็ก อย่าง CIMBT มีกำไรเติบโต39.33% ตามมาด้วย LHBANK กำไรพุ่ง 31.44% ส่วนTCAP ไล่มาติดๆ กำไรโค้งแรกโต 18.49% รวมถึง TISCO ที่กำไรสุทธิโต18.45%
ส่วน BAY สร้างผลงานโค้งแรกด้วยตัวเลขกำไร6.21 พันล้านบาท เติบโต10.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ5.64 พันล้านบาท ขณะที่ BBL กำไรเติบโต 8.42 % , KBANK มีกำไรในไตรมาสแรกเติบโต 5.84% ด้าน KTB ทำกำไรหล่นหาย โดยกำไรทรุดลง 20.51%
|
|
|
Q1/61(ลบ.) |
|
ปีQ1/60(ลบ.) |
|
|
|
หรือ/% |
ลำดับ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
1 |
KBANK |
|
10,765,732.00 |
|
10,171,488.00 |
|
|
|
5.84% |
2 |
SCB |
|
11,364,452.00 |
|
11,911,910.00 |
|
|
|
-4.60% |
3 |
BBL |
|
9,004,656.00 |
|
8,304,700.00 |
|
|
|
8.43% |
4 |
BAY |
|
6,214,569.00 |
|
5,644,746.00 |
|
|
|
10.09% |
5 |
KTB |
|
6,786,536.00 |
|
8,537,889.00 |
|
|
|
-20.51% |
6 |
TMB |
|
2,279,741.00 |
|
2,096,441.00 |
|
|
|
8.74% |
7 |
TISCO |
|
1,765,815.00 |
|
1,490,764.00 |
|
|
|
18.45% |
8 |
KKP |
|
1,513,060.00 |
|
1,523,952.00 |
|
|
|
-0.71% |
9 |
TCAP |
|
1,898,684.00 |
|
1,602,290.00 |
|
|
|
18.50% |
10 |
CIMBT |
|
168,885.00 |
|
121,206.00 |
|
|
|
39.34% |
11 |
LHBANK |
|
771,089.00 |
|
586,629.00 |
|
|
|
31.44% |
|
รวม |
|
52,533,219.00 |
|
51,992,015.00 |
|
|
|
1.04% |
KBANK แจงกำไรสุทธิ Q1/61 โต 5.84% ส่วนNPL ทรงตัวที่ 3.3%
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เผยว่าธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 10,766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 608 ล้านบาท หรือ 2.63% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยรับของเงินให้กู้ยืมตามธุรกรรมซื้อคืน โดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.37% อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 405 ล้านบาท หรือ 2.61% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยลดลง ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 4.71% หลัก ๆ เกิดจากค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน และค่าธรรมเนียมรับเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 765 ล้านบาท หรือ 5.03% ส่วนหนึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายทางการตลาด ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.20% รวมถึงในไตรมาสนี้ ธนาคารมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลง ซึ่งสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1/61 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/60 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินนงานก่อนหักหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญและภาษีเงินได้ จำนวน 22,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,982 ล้านบาท หรือ 15.03% จากค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลง จำนวน 2,970 ล้านบาท หรือ 15.66% ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล โดยส่วนหนึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายทางการตลาด ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจำนวน 336 ล้านบาท หรือ 2.28% ส่วนหนึ่งเกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้เงินปันผล นอกจากนี้ ธนาคารมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ลดลง จำนวน 3,827 ล้านบาท หรือ 32.87% ทำให้กำไรสุทธิมีจำนวน 10,766 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจำนวน 5,059 ล้านบาท
สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 3.30% เท่ากับสิ้นปี 2560 อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 149.72% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปี 2560
อาทิตย์ แจงสาเหตุ SCB กำไรโค้งแรกหด 4.6%
นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เปิดเผยว่า ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 6.6% จากปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย 13.4% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกำไรจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 3.4% อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดในการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะลูกค้าบนระบบดิจิทัล (Digital acquisition) และการลงทุนทางด้านดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2561 (งบการเงินรวมก่อนสอบทาน) มีจำนวน 11,364 ล้านบาท ลดลง 4.6% จากไตรมาส 1/2560
อัตราส่วน NPL ในไตรมาส 1/2561 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 2.77% จาก 2.83% ณ สิ้นปี 2560 ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 5,012 ล้านบาท หรือ 0.98% ของสินเชื่อรวม ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวดีขึ้นเป็น 141.9% ณ สิ้นไตรมาส 1/2561 จาก 137.3% ณ สิ้นปี 2560
BBLแจงQ1/61กำไรกว่า9พันลบ. เหตุรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ-รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยหนุน
ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยว่า สำหรับไตรมาส 1 ปี 2561 ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 17,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.34สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 14,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.8 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและกำไรสุทธิจากเงินลงทุน รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จากค่าธรรมเนียมบริการกองทุนรวม และค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อ สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 12,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็นร้อยละ 39.9 ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารมีจำนวน 9,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 จากไตรมาส 1 ปีก่อน
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,978,511 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.3 จากสิ้นปี 2560 จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจ สินเชื่อลูกค้าบุคคล และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.8 ขณะที่เงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารมีจำนวน 146,807 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอรองรับความไม่แน่นอนและกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น ตามหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวัง
BAY เผยกำไร Q1/61 โต10.1% YoY
นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 ว่า เป็นที่น่าพอใจ ด้วยกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งจำนวน 6.2 พันล้านบาท เติบโต 9.4% จากไตรมาส 4/60 และ 10.1% จากไตรมาส 1/60 แม้ว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาลของการชำระคืนเงินให้สินเชื่อแต่กรุงศรียังสามารถส่งมอบสถิติกำไรสุทธิรายไตรมาสที่โดดเด่น
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1/2561 มาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงานและการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันและโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อที่สมดุลของกรุงศรี รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.96% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ระดับแข็งแกร่งที่สุดที่ 1.96% ปรับลดลงจาก 2.05% ในเดือนธ.ค.60
สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี นายโกโตะ คาดว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ด้วยแรงสนับสนุนจากการเติบโตต่อเนื่องของภาคส่งออกและภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการเร่งเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนและความต้องการสินเชื่อ จากสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุน โดยธนาคารจึงยังคงประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ 4.0% และสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อที่ครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจที่ 6-8% สำหรับปี 61
ยังมีต่อ.........