Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: ฟิทช์อัพเครดิต PTTGC เป็นมีเสถียรภาพ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB’/’AA(tha)’

627

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(20 กันยายน 2567)----- บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ อันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เป็นแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ จากแนวโน้มเครดิตเป็นลบ นอกจากนี้ ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ ที่ ‘BBB’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว ที่ ‘AA(tha)’

 

ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท ที่ ‘AA(tha)’ และอันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ภายใต้โปรแกรมการออกหุ้นกู้ (Global Medium-term Note Programme) ซึ่งออกโดยบริษัท จีซี ศูนย์บริหารเงิน จำกัด ในฐานะศูนย์บริหารเงินของกลุ่ม PTTGC ที่ ‘BBB’ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระตามกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้จาก PTTGC

 

อันดับเครดิตของ PTTGC ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ อันดับเครดิตของ PTTGC สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของ PTTGC ในฐานะบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในภูมิภาค การที่บริษัทฯ มีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้จากสัญญาการจัดหาวัตถุดิบ และสัญญาซื้อผลิตภัณฑ์ระยะยาวกับบริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’/‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) อันดับเครดิตของ PTTGC ยังสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่บริษัทฯ ดำเนินงานอยู่

 

การปรับแนวโน้มอันดับเครดิต สะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ว่า หนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ PTTGC จะยังคงปรับตัวลดลงตาม มาอยู่ระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า ภายในปี 2568 ซึ่งเป็นไปตามที่ฟิทช์ได้คาดการณ์ ฟิทช์เชื่อว่า PTTGC มีมาตรการต่างๆ ในการช่วยลดอัตราส่วนหนี้สิน แม้ว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่ฟิทช์คาด บริษัทฯ ได้ดำเนินการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อน้ำมันดิบกับบริษัทแม่ เพื่อลดความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน และได้มีการขายทรัพย์สินในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ไปบ้างแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการขายทรัพย์สินในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทฯ อื่นๆ เพิ่มเติม

 

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

อัตราส่วนหนี้สินลดลงอย่างต่อเนื่อง: ฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage ของ PTTGC จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า ในปี 2568 จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ปรับตัวลดลง ผู้บริหารของ PTTGC มีความมุ่งมั่นในการลดอัตราส่วนหนี้สิน โดยมีมาตรการต่างๆ เพื่อลดหนี้สิน เช่น การขายทรัพย์สินในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทฯ มาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวในการปรับลดอัตราส่วนหนี้สิน ในกรณีที่กำไร และ ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด

กำไรที่ปรับตัวดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจาหน่าย (EBITDA) ของ PTTGC น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาทในปี 2567 (ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท) จากระดับที่ต่ำมากในปี 2566 (2.7 หมื่นล้านบาท) โดยได้รับการสนับสนุนจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากระดับที่ต่ำในปี 2566 โดยธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันน่าจะมีผลประกอบการที่ดี ฟิทช์คาดว่า EBITDA น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 จากอุปสงค์ และอุปทานในธุรกิจปิโตรเคมีที่มีความสมดุลมากขึ้น ฟิทช์คาดว่าค่าการกลั่นของ PTTGC ในปี 2568 จะยังคงอยู่ในระดับที่ดี ที่ประมาณ 5.5-6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์เคมีที่ต่ำ: ฟิทช์คาดว่า ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี น่าจะยังคงอ่อนแอในปี 2567 แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวเล็กบ้างจากระดับต่ำในปี 2566 เนื่องจาก ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของความต้องการของผู้บริโภคจากประเทศจีน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ช้าลง และสภาวะกำลังการผลิตที่เกินความต้องการ จะยังคงกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีนน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนการเกิดสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด อย่างน้อยจนถึงปี 2569 ฟิทช์คาดว่ากำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรม น่าจะเริ่มลดลงหลังจากปี 2567 ซึ่งน่าจะทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ฟื้นตัวหลังจากนั้น

ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง: ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนของบริษัทฯ จะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.0-2.3 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2567 และ 2568 เมื่อเปรียบเที่ยบกับ 2 หมื่นล้านบาท ในปี 2566 ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนในปี 2567 น่าจะปรับตัวลดลง หลังจากที่บริษัทฯ เสร็จสิ้นการก่อสร้างโครงการ Olefins 2 Modification และเริ่มดำเนินการในปี 2566 ฟิทช์คาดว่า PTTGC จะยังคงไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วงสภาวะตลาดยังคงอ่อนแออยู่

การขยายเทอมการชำระเงินช่วยเสริมความคล่องตัวทางการเงิน: ฟิทช์มองว่าการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อวัตถุดิบจาก ปตท.ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ นั้น จะช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินให้กับ PTTGC ในการบริหารจัดการอัตราส่วนหนี้สิน PTTGC ได้มีการลดเทอมการชำระเงินดังกล่าวในช่วงปี 2565 เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่น ฟิทช์คาดว่า PTTGC จะคงการขยายเทอมการชำระเงินดังกล่าวเป็น 90 วัน ในปี 2566-2567 ซึ่งน่าจะช่วยลดความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน จำนวนประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท

ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น: การเข้าซื้อกิจการ Allnex สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ PTTGC ในการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจเคมีเกรดพิเศษ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจที่มีเสถียรภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐานในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความผันผวนที่น้อยกว่า สัดส่วน EBITDA จากผลิตภัณฑ์ Performance Chemicals ของ PTTGC จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 22 ในปี 2567 และ ปี 2568 จากระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งทำให้สถานะทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น


การผลิตที่ครบวงจรและต้นทุนการผลิตที่ต่ำ: PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มากกว่า และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับผู้ผลิตปิโตรเคมีและน้ำมันอื่นๆ ในประเทศ นอกจากนี้ PTTGC ยังมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ คือก๊าซธรรมชาติซึ่งจัดหาได้จากภายในประเทศ และบริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์จากการที่มีสัญญาการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาวกับ ปตท. ซึ่งช่วยลดความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบได้ PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ปตท.

แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ในระดับปานกลาง: อันดับเครดิตของ PTTGC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทฯ ที่ ‘bb+’/’a+(tha)’ ซึ่งสะท้อนถึงแรงจูงใจของบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ปตท. ในการให้การสนับสนุน จากความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน (Operational incentive) แก่ PTTGC ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) ฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง PTTGC เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญด้านกลยุทธ์ต่อ ปตท. นอกจากนี้ PTTGC ยังเป็นผู้รับซื้อวัตถุดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของ ปตท.

ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: อันดับเครดิตของบริษัทฯ ถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ค่าการกลั่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ PTTGC ยังมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบน้อยแหล่ง เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่มาจาก ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ รับวัตถุดิบส่วนใหญ่จาก ปตท. ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ ปตท. มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทย

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

PTTGC และ Alpek, S.A.B. de C.V (อันดับเครดิตที่ ‘BBB-‘/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) มีสถานะทางธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน โดย Alpek เป็นผู้นำในธุรกิจ PTA, PET rPET และ Expandable Polystyrene ในทวีปอเมริกา ในขณะที่ PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน ประมาณร้อยละ 92 ของรายได้ของ Alpek มาจากผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ที่มีความผันผวนต่ำ ในขณะที่การเข้าซื้อกิจการของ Allnex ได้ทำให้กำไรของ PTTGC มีเสถียรภาพมากขึ้น และทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจาหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ปรับตัวดีขึ้น อันดับเครดิตของ Alpek อยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ ‘bb+’ อยู่ 1 อันดับ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินของ Alpek อยู่ในระดับต่ำกว่าของ PTTGC

สถานะทางธุรกิจของ PTTGC ก็มีลักษณะใกล้เคียงกันกับของ Braskem S.A. (อันดับเครดิตที่ ‘BB+’ เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ) Braskem มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า PTTGC แต่มีผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และการก่อสร้าง ซึ่งทำให้กำไรของ Braskem มีความผันผวนมากกว่า เครดิตเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบของ Braskem สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะตลาดของปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในขาลงส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสูงกว่าที่ฟิทช์คาดอัตราส่วนหนี้สินของ Braskem ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่าปัจจัยลบที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตที่ 3.5 เท่าในปี 2567-2568 และจะลดลงอยู่ที่ระดับ 3.5 ในปี 2569

สถานะทางธุรกิจของ Synthos Spolka Akcyjna (อันดับเครดิตที่ ‘BB’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) อ่อนแอกว่า PTTGC จากขนาดของธุรกิจที่เล็กว่า การกระจายตัวของรายได้ที่น้อยกว่า และสถานะการเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอกว่า แม้ว่าธุรกิจ Synthetic Rubber จะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากการเข้าซื้อทรัพย์สินจาก Trinseo Synthos มีอัตราส่วนหนี้สินที่ดีกว่า PTTGC เล็กน้อย ซึ่งไม่เพียงพอที่จะชดเชยสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่า ทำให้ Synthos มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC อยู่ 1 อันดับ

สถานะทางธุรกิจของ PTTGC แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า TOP

PTTGC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด หรือ SCGC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) เนื่องจาก PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า และมีการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่มากกว่า นอกจากนี้ PTTGC ยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ a+(tha) จึงอยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ SCGC ที่ a-(tha) อยู่ 2 อันดับ

 

สมมุติฐานที่สำคัญ:

- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567, 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2569, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2570 และ 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2570 และหลังจากนั้น โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC;
- กำไรของธุรกิจปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2567 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาและอุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแออยู่ จะกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบ
- ค่าการกลั่นที่ไม่รวมกำไร/ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติในปี 2567
- การใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอยู่ในระดับสูงในปี 2567 เนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่น
- การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. ต่อเนื่องจนถึงปี 2567-2569
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนรวมจำนวน 6.6 หมื่นล้านบาท ในปี 2567-2569
- จ่ายเงินปันผลร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม
- รวมงบการเงินของบริษัทลูก บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด (อันดับเครดิตที่ ‘BBB+(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ตามสัดส่วนการถือหุ้นของ PTTGC

 

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ:
- บริษัทฯ ไม่สามารถปรับลดอัตราส่วน EBITDA Net Leverage ตามที่ฟิทช์คาดการ ให้ไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่าในปี 2568
- แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่ลดลง

ปัจจัยบวก:
- EBITDA Net Leverage ปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่เพิ่มขึ้น

สภาพคล่อง

สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: PTTGC มีหนี้ทั้งหมด จำนวน 2.5 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2567 โดยหนี้จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า สภาพคล่องของ PTTGC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 3 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2567 กระแสเงินสดสุทธิจำนวนประมาณ 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท ต่อปี ในช่วงปี 2567-2568 และวงเงินกู้จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ PTTGC มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งตลาดตราสารหนี้ จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ ปตท. และสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทย

 

///จบ///

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

พีที ชวนส่งต่อน้ำใจ ช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยและฟื้นฟูพื้นที่ภาคเหนือ

พีที ชวนส่งต่อน้ำใจ ช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยและฟื้นฟูพื้นที่ภาคเหนือ

ผันผวน By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ หุ้นไทยวันศุกร์ เข้าสู่ความผันผวน ตามทิศทางเดียวกับหุ้นโลก.....

มัลติมีเดีย

รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์

รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้