Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: PTTGC เปิดรายได้โค้งแรกเพิ่มขึ้น 18%

1,122

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 10พฤษภาคม 2566 )---PTTGC เผยQ1/66 รายได้เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาส4/65 หลังปริมาณขายเพิ่มขึ้น-ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเฉลี่ยสูงขึ้น ขณะที่รายงานผลกำไรสุทธิรวม82 ล้านบาท (0.02 บาท/หุ้น)

 
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 147,248 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาส4/2565แต่ปรับตัวลดลงร้อยละ 16จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้รวมในไตรมาสนี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของโรงกลั่นภายหลังเสร็จสิ้นการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นตามอุปสงค์ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวภายหลังการกลับมาเปิดประเทศของประเทศจีน โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีAdjusted EBITDA อยู่ที่ 9,530 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 82จากไตรมาส 4/2565แต่ปรับตัวลดลงร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีเหตุผลหลักจากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นในกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นโดยเฉพาะโรงกลั่นที่ยังคงมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์ในระดับสูง และโรงอะโรเมติกส์ที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอุปสงค์ปลายทางที่ฟื้นตัว รวมถึงแรงสนับสนุนจากการนำวัตถุดิบไปเป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำ มันแก๊สโซลีนของผู้ผลิตในตลาด กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์มีผลประกอบการที่ดีขึ้นตามอุปสงค์จากการกลับมาเปิดประเทศของประเทศจีน ในขณะกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางและกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษมีการอ่อนตัวลง

 

ทั้งนี้ในไตรมาสนี้ภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีค่อยๆ ฟื้นตัวจากช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทร่วมทุนทางด้านธุรกิจปิโตรเคมีหลายแห่งยังมีผลประกอบการที่อ่อนตัวส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้จำนวน 152 ล้านบาท แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ประกอบกับบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายทางการเงินสุทธิเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ(ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำ มันและรายการกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ)จำนวน 240 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้บริษัทฯ รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 1,359 ล้านบาท ผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 943 ล้านบาท ผลกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็นกำไร 696 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ รายงานผลกำไรสุทธิรวม82 ล้านบาท (0.02 บาท/หุ้น)

 

สำหรับผลประกอบการโดยรวมในไตรมาสนี้ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างมากจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวสูงขึ้นหลังเสร็จสิ้นการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่นในไตรมาส 4/2565เช่นเดียวกับค่าการกลั่น (GRM) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 10.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ดีเซลที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ และส่วนต่างผลิตภัณฑ์แก๊ซโซลีนที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ประกอบกับ Crude premium ที่ปรับตัวลดลงในไตรมาสนี้ธุรกิจอะโรเมติกส์มีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น จากปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลและปริมาณการผลิตที่ตึงตัวในช่วงไตรมาสนี้ในขณะที่โรงโอเลฟินส์มีผลประกอบการอ่อนตัวลงโดยหลักเนื่องจากการหยุดซ่อมบ ารุงตามแผนของโรงโอเลฟินส์ หน่วยที่ 2/2ในไตรมาสนี้เพื่อเตรียมรองรับการเดินเครื่องในการปรับปรุงกระบวนการผลิตกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางมีผลประกอบการลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากการอ่อนตัวลงของทั้งผลิตภัณฑ์ฟีนอลและผลิตภัณฑ์บิสฟีนอลเอ (บีพีเอ) ที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมปลายทางที่ยังคงอ่อนตัวรวมถึงกำลังการผลิตใหม่ในตลาดจากประเทศจีน ผลิตภัณฑ์กรดเทเรฟทาลิกบริสุทธิ์มีส่วนต่างผลิตภัณฑ์ลดลงเนื่องจากราคาวัตถุดิบพาราไซลีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากแม้จะมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์จากอุตสาหกรรมปลายทางเส้นใยและสิ่งทอฟื้นตัวในไตรมาสนี้ก็ตาม ในขณะที่โรงงานโมโนเอทิลีนไกลคอลยังคงหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในไตรมาสนี้กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวเพิ่มขึ้นภายหลังการเปิดประเทศของประเทศจีนซึ่งช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในตลาด


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าจากอุปสงค์ที่ดีขึ้นของการเดินทางทำให้ปริมาณขายเมทิลเอสเทอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษยังคงสามารถบริหารจัดการราคาขายและส่วนต่างราคผลิตภัณฑ์ได้ดี รวมถึงมีปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมทางธุรกิจที่มากขึ้นโดยเฉพาะการเติมสินค้าคงคลังในทวีปยุโรป หลังผ่านพ้นช่วงอุปสงค์อ่อนตัวตามฤดูกาลในช่วงไตรมาสก่อนหน้า

 


--- แนวโน้มตลาดและธุรกิจในปี 2566---
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี2566 ยังคงมีความท้าทายจากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครนนำมาซึ่งมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและพลังงานต่อประเทศรัสเซียซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งอุปทานและราคาพลังงานทั่วโลกและนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและความกังวลทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ในขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศของประเทศจีนอย่างเป็นทางการ จากภาพรวมดังกล่าว IMF ได้ปรับประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2566 ลงเหลือร้อยละ 2.8(ณ เดือนเมษายน 2566) ทั้งนี้คาดการณ์ว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่น่าจะยังสามารถเติบโตได้แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนจากปัญหาเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงินของแต่ละประเทศ

 

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น
บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี2566 อยู่ที่เฉลี่ย 80-85เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันของโลก (ณ เดือนเมษายน 2566) ในปี 2566เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปริมาณความต้องการใช้ในปีนี้ไปอยู่ที่ระดับ 101.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ตลาดน้ำมันดิบยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปีหน้าทั้งสถานการณ์ขาดแคลนพลังงานของโลก การฟื้นตัวของอุปสงค์โดยเฉพาะการเปิดประเทศของประเทศจีนในครึ่งปีหลัง การควบคุมกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) รวมถึงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากสถานการณ์ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย

 

สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่น บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี2566 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากในปี2565 ที่ส่วนต่างราคาอยู่ในระดับสูงจากอุปทานที่ตึงตัวเป็นผลของสถานการณ์ความขัดแย้งในทวีปยุโรป โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 17-21เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 10-13เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊ซโซลีนกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15-19เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี2566 อยู่ที่ร้อยละ 101%

 

ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี2566 จะปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 370-390เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2565 จากการปรับตัวของราคาที่ดีขึ้นตามราคาน้ำมันแก๊ซโซลีนในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566ในด้านอุปสงค์บริษัทฯ คาดการณ์จากภาคอุตสาหกรรมปลายน้ำ เส้นใยและสิ่งทอ(Fiber Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์(PTA) โดยเฉพาะขวดบรรจุภัณฑ์ (PET Bottle Resin) ยังคงได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มรวมถึงอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ และการเดินทางระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะการสนับสนุนจากการเปิดประเทศของประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแรงกดดันจากผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาในตลาดที่จะเข้ามาในปี 2566

 

สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 240-260เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ใกล้เคียงกับปี 2565โดยยังคงได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตใหม่ของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำเช่น ฟีนอล แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กดดันตลาดปลายทาง ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี2566อยู่ที่ร้อยละ 90เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงอะโรเมติกส์ในช่วงไตรมาส3/2566

 

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์บริษัทฯ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนจะอยู่ที่ 970-1,000เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่970-1,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยจะยังได้รับความกดดันจากอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดโดยเฉพาะจากประเทศจีน ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี2566อยู่ที่ร้อยละ 85เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/2 ในไตรมาส 1/2566 และการปิดซ่อมตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 1 ในไตรมาส 3/2566


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี2566 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F)จะอยู่ที่240-250เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวลดลงจากปี 2565 โดยปรับตัวลดลงจากมีอุปทานใหม่ของผู้ผลิตฟีนอลที่เข้ามาในตลาดในขณะที่อุปสงค์ของตลาดสินค้าปลายทางในช่วงครึ่งปีแรกคาดการณ์ยังไม่ฟื้นตัว แต่บริษัทฯคาดการณ์ว่าจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเปิดประเทศของประเทศจีนนั้นจะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังของ 2566


สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG)และผลิตภัณฑก์รดเทเรฟทารคิบริสุทธิ์(PTA) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 540-560เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ PTA จะทรงตัวในปี2566โดยสถานการณ์อุปสงค์ของภาคอุตสาหกรรมปลายทางได้รับปัจจัยสนับสนุนเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์พาราไซลีนที่กล่าวไปข้างต้น


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี2566 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,130 – 1,180 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยจะยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์การใช้งานในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และการเปิดประเทศของประเทศจีนซึ่งช่วยกระตุ้นอุปสงค์ กอปรกับอุปทานที่เข้ามาใหม่ในปีหน้ามีแนวโน้มลดลงแม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนจากความกังวลทางเศรษฐกิจก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กุลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี2566อยู่ที่ร้อยละ 98 ในขณะที่แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) เป็นไปตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ บริษัทฯ คาดว่าอุตสาหกรรมปลายทางหลัก อาทิเช่นอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์อุตสาหกรรมก่อสร้างค่อยๆ ฟื้นตัวในปี2566โดยได้รับการสนับสนุนจากกระตุ้นเศรษฐกิจและการเปิดประเทศของประเทศจีน ในขณะที่อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์น่าจะเติบโตตามการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยกดดันอุปสงค์ของลูกค้าเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ชะลอตัวลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยทางตรงและทางอ้อมของสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครน

 

บริษัทฯ มีโครงการสำคัญที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่
 -โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้แก่บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จุกัดโดยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงประเภท High HeatResistant Polyamide-9T (PA9T) กำลังการผลิตที่ 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic BlockCopolymer (HSBC) กำลังการผลิตที่ 16,000 ตันต่อปี โดยได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/2566

 

 -โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project)ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ของบริษัทฯ สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/2566ซึ่งโครงการดังกล่าวยังคงเป็นไปตามแผนที่บริษัทฯ ได้วางไว้ หากมีการพัฒนาที่มีนัยสำคัญและใกล้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ บริษัทฯ จะแจ้งความคืบหน้าอีกครั้ง

---จบ---

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้