AT THE OPEN (#ATO)
SET Index ปรับขึ้นตามกรอบ 1370-1385
กลยุทธ์เลือกหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยกลับทิศ

Market Strategy
SET Index วันนี้คาดแกว่งขึ้นตาม 1370-1385 จุด ผลการประชุม FED เดือน มี.ค. มีสาระสำคัญดังนี้ 1) คณะกรรมการมีมติคงอัตราดอกเบี้ยฯ 5.5% ตามตลาดคาด 2) ปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มจาก GDP Growth 67/68 ขึ้นมาที่ 2.1% /2.0% (จากเดิม 1.4% และ 1.8%) Core PCE ปี 67/68 ขึ้นมาที่ 2.6%/2.2% (จากเดิม 2.4%/2.2%) และอัตราการว่างงานมาที่ 4%/4.1% (จากเดิม 4.1%/4.1%) สะท้อนถึงมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง 3) ค่ากลาง FOMC Dot Plot สิ้นปี 67 อยู่ที่ 4.6% หรือปรับลด 3 ครั้งในปีนี้เป็นระดับเท่ารอบก่อน
การส่งสัญญาณข้างต้นหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ปรับขึ้นเฉลี่ย 1% Dollar Index อ่อนค่า 0.42% สวนทางค่าเงินบาทเช้านี้แข็งค่า 0.2% บาท/USD หนุนทิศทาง Fund Flow ไหลกลับ นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ความกังวลเรื่องส่วนต่างดอกเบี้ยของบ้านเราและสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งจะทำให้การปรับลดดอกเบี้ยฯ ของ กนง. ในช่วง 1H67 เป็นไปได้มีมาก ซึ่งจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นที่ทำให้ Valuation ในมิติของ Earning Yield Gap ระหว่าง SET Index กับตลาดตราสารหนี้เปิดกว้างออกไป
จากสภาพแวดล้อมที่มีน้ำหนักในทางบวกจึงคาด SET Index จะปรับขึ้น โดยมองหุ้นที่ปรับขึ้น Outperform ตลาดวันนี้ได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF GPSC) กลุ่ม Big Cap เป้าหมาย Flow (ADVANC SCB) เป็นต้น

Market Summary
SET Index วานนี้ปรับลง 9 จุด จากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2 หมื่นล้านบาท แต่หากหักรายการ Big Lot AWC-F 1.79 หมื่นล้านบาท การขายสุทธิจะลดลงเหลือ 2.1 พันล้านบาท หุ้นที่กดดันตลาดมาจากกลุ่มพลังงาน PTT -1.5% PTTEP -1% กลุ่มค้าปลีก CPALL -1.3% CPAXT -3.8% จากความกังวลต่อการแข่งขันหลัง Tops Daily ประกาศขายแฟรนไชส์ กลุ่มที่หนุนตลาด กลุ่มท่องเที่ยวและขนส่ง

ATO Daily Stock Picks
แนะนำ MTC GULF

GULF เริ่มเห็นปัจจัยขับเคลื่อน
คาดกำไรปึ 67 ยังเติบโตแข็งแกร่ง 13% หนุนจากการ COD ของ GPD หน่วยที่ 2-4 ซึ่งเป็นโครงการ IPP ที่กำไรขึ้นอยู่กับการจ่ายเงินค่าความพร้อมจ่าย ขณะที่ระยะถัดไปยังมี Upside เพิ่มจากการเข้าประมูลโครงการใหม่ในอนาคต โดยเฉพาะความคืบหน้าของแผน PDP ฉบับใหม่ที่เตรียมเปิดรับฟังความเห็นตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 67 คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ในเดือน ก.ย. 67 ต่อไป
ส่วนปัจจัยบวกระยะสั้นทิศทางค่าเงินบาท ที่กลับมาแข็งค่าและ U.S. Bond Yield ที่ปรับลงหลังการประชุม FED ยังส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยฯ 3 ครั้ง ขณะที่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีแกว่งทรงตัว Laggard GPSC และ BGRIM ที่ปรับขึ้น 7% และ 4.6% อยู่มาก
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 56.50 บาท

MTC หลากหลายปัจจัยหนุน
แนวโน้มปี 67 คาดกำไรจะขยายตัว 16%เนื่องจากสินเชื่อเติบโตแข็งแกร่ง ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit cost) ลดลงและคุณภาพสินทรัพย์ที่ควบคุมได้ดี สะท้อนได้จาก NPL ลดลงในช่วง 3Q-4Q66 รวมถึงกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นสินเชื่อที่มีหลักประกันมากกว่าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน
แรงขับเคลื่อนราคาหุ้นระยะสั้นให้น้ำหนักไปที่ 2 ประเด็น 1) การลดดอกเบี้ยฯของ กนง. เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 1H67 ของปี จากความกังวลเรื่องส่วนต่างดอกเบี้ยของบ้านเราและสหรัฐฯลดลงหลังประธาน FED ไม่ได้ส่งสัญญาณในเชิงเข้มงวด 2) การเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ที่จะเริ่มลงสู่ระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วง 2Q67 ลดความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 52.00 บาท

KEY FACTOR
Fed คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25% - 5.50% ตามที่ Consensus คาด พร้อมกับเปิดเผย Dot Plot ให้น้ำหนักดอกเบี้ยนโยบายปี 2567 ที่ระดับ หรือสะท้อนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังปรับมุมมองเศรษฐกิจ คาดการณ์ 1) GDP ปี 2567 ขยายตัวระดับ +2.1% และ ปี 2568 ขยายตัว +2.0% เพิ่มขึ้นจากประมาณการณ์เดิมที่ +1.4% และ +1.8% ตามลำดับ 2) คาด PCE ปี 2567 และ ปี 2568 +2.4% และ +2.2% ตามลำดับ 3) คาด Core PCEs ปี 2567 และ ปี 2568 +2.6% และ +2.2%
คาดเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง จาก 1) ตลาดปรับฐานและระมัดระวังมากในช่วงก่อนหน้า ให้น้ำหนัก Fed ลดดอกเบี้ยถอยลงต่ำกว่า 3 ครั้ง และล่าสุดมุมมองตลาดกลับมาให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 3.4 ครั้ง 2) การปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังคงระดับเงินเฟ้อใกล้เคียงเดิม สะท้อนว่ายังเปิดโอกาสการผ่อนคลายทางการเงิน 3) ค่าเงินบาทมีโอกาสลุ้นแข็งค่ากลับตาม Dollar index ที่อ่อน -0.57%

Eyes on
21 มี.ค. S&P Global PMI สหรัฐฯ, ยอดขายบ้านมือสอง, HCOB PMI ของ Eurozone

นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ