TTB คำแนะนำ ซื้อ
ราคาปิด 1.69 บาท ราคาพื้นฐาน 2.02 บาท
กลับมาน่าสนใจมากขึ้น
- กำไรสุทธิ 4Q66 ดีกว่าคาด ธนาคารรายงานกำไรสุทธิ 4Q66เท่ากับ 4.9 พันล้านบาท เติบโต +26.5%YoY และ+2.8%QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ 8% ปัจจัยที่หนุนกำไรสุทธิ 4Q66 คือ รายได้อกเบี้ยสุทธิ (NII) ที่ดีเกินคาดส่วนกำไรสุทธิทั้งปี 66อยู่ที่ 18.5 พันล้านบาท ขยายตัว +30.1%YoY เป็นผลจากรายได้NII เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง เพราะNIM สูงขึ้น
- กำไรก่อนสำรอง (PPOP) 4Q66 ขยายตัว +4.2%YoY, -2.1%QoQ เป็น 9.9 พันล้านบาท จากรายได้ NII สูงขึ้นจาก NIM ที่เพิ่ม ส่วนการลด QoQ เพราะค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้น ส่วนทั้งปีมี PPOP 39.3 พันล้านบาท เติบโต+10.4%YoY
-นำผลประโยชน์ด้านภาษีจากขาดทุนจากการปิด TBANK มาช่วยรักษากำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายได้อีกหลายปีใน 4Q66 ธนาคารตั้งสำรอง ECL พิเศษ 4.9 พันล้านบาท แต่บางส่วนชดเชยด้วยรายการเครดิตภาษีคืน 4.2พันล้านบาท ซึ่งมาจากผลขาดทุนในกระบวนการปิด TBANK ที่แล้วเสร็จในเดือนพ.ย.66 โดยธนาคารสามารถทยอยเครดิตภาษีคืนได้และสิ้น 4Q66เหลือที่จะเครดิตภาษีคืนภายในปี 2571 ได้อีก 15.5 พันล้านบาท โดยแต่ละปีเครดิตคืนไม่เท่ากันได้ (ไม่ต้องทำเป็นค่าเฉลี่ยเส้นตรง)
- สินเชื่อหดตัว -3.1%QoQ และ -4.0%YoY ใน 4Q66 ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ธนาคาร อย่างไรก็ดี สินเชื่อรายย่อย เช่น สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ, จำนำที่พักอาศัย และสินเชื่อเพื่อการบริโภคเติบโตตามแผน ด้านสินเชื่อเช่าซื้อ4Q66 ลดลง 0.2%QoQ และทรงตัว YoY
- บริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี NPL ratio สิ้น 4Q66 อยู่ที่ 2.62% ลดลงจาก 2.67% ในสิ้น 3Q66 ในไตรมาสนี้มีการตัดหนี้สูญ 3.7 พันล้านบาทและขาย NPL 0.8 พันล้านบาท ด้านสำรองสะสมต่อ NPL (Coverage ratio) สิ้น4Q66เพิ่มขึ้นเป็น 155% จาก 144% ในสิ้น 3Q66 หลังจาก 4Q66 ตั้งสำรองทั้งหมด 9.3 พันล้านบาท (รวมส่วนที่ตั้งพิเศษ)
-แนวโน้มปี 67F ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อทรงตัว และผู้บริหารมองว่ายังไม่จำเป็นต้นเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝาก เพราะปรับขึ้นไปแล้วใน 2H66 คาด NIM แคบลงจากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น รายได้ Fee ยังท้าทาย ส่วนรายได้ Non-NII คาดว่าจะโตเป็นเลขหลักเดียว ค่าใช้จ่ายดำเนินงานยังสูงโดยเฉพาะการลงทุนในระบบดิจิตอล ด้านการตั้งสำรองปกติคาดจะไม่ลดจากปี 66 นัก แต่ธนาคารมีผลขาดทุนจากการปิดบัญชี TBANK เข้ามาช่วยหนุนกำไรบรรทัดสุดท้าย
- มีแผนเพิ่ม ROE จากการที่ธนาคารมี Tier 1 สูงมาก (17% ในสิ้น 4Q66) และงบดุลมีคุณภาพดีขึ้น ผู้บริหารจึงจะเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลเพื่อให้มี ROE สูงขึ้น
-คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 2.02 บาท (เดิม 2 บาท) อิงกับ P/BV ปี 24F ที่ 0.85 เท่า (ค่าเฉลี่ย 5 ปี + 1SD)คาดปันผล 2H66Fเท่ากับ 0.05 บาท ณ ราคาปัจจุบันคิดเป็น Remaining DY ประมาณ 3.0% ส่วนปี 67 คาดว่าจะจ่ายปี 66 ที่ 0.10 บาท/หุ้น จะให้ DY ทั้งปี 67 เท่ากับ 5.9%
นักวิเคราะห์ : ธนินี สถิรเรืองชัย : thaninees@th.dbs.com : Tel. 02 857 7837