***ยังมีความท้าทายเรื่องวัตถุดิบ***
คาดกำไรสุทธิ 4Q66F จะลดลง YoY แต่ดีขึ้น QoQ เป็นผลจากปริมาณขายในตลาดต่างประเทศดีขึ้นเพราะเป็น high season ของตลาดอินโดนีเซีย เราประเมินกำไรสุทธิ 4Q66F ไว้ที่ 300-400 ล้านบาท (ลดจาก 1,054 ล้านบาทใน 4Q22 แต่ดีขึ้นจาก 202 ล้านบาทใน 2Q23) โดยคาดปริมาณขาย 4Q66F เพิ่มขึ้นเป็น 0.28 ล้านตัน (จาก 0.26 ล้านตันใน 2Q66) ด้านสเปรดดีขึ้นจากราคาขายขยับขึ้นเล็กน้อย และรายได้ธุรกิจก่อสร้างแข็งแกร่งใน 4Q66F
มีข้อจำกัดเรื่องวัตถุดิบ ผู้บริหารปรับลดเป้ายอดขายปี 66F เป็น 1.15 ล้านตัน (จากเดิม 1.2 ล้านตัน) เพราะมีข้อจำกัดในการหาวัตถุดิบจากแหล่งใหม่ในการผลิตยางมะตอย โดยวัตถุดิบที่มีอยู่เพียงพอที่จะผลิตถึงสิ้นปี 66 ปัจจุบันโรงกลั่นใช้กำลังการผลิตเพียง 30% เท่านั้น
ได้รับผลดีจากการที่สหรัฐยกเลิกควํ่าบาตรเวเนซูเอลาชั่วคราวไม่มากอย่างที่คาด เราเชื่อว่าเวเนซูเอลาจะไม่ได้ขายน้ำมันดิบให้กับ TASCO ในราคาถูกมากเหมือนคราวที่ผ่านมา เพราะความต้องการซื้อน้ำมันจากเวเนซูเอลาสูงขึ้นรวมถึงสัญญาซื้อก็อาจไม่ได้มีระยะเวลายาวเหมือนครั้งก่อน ทั้งนี้โรงกลั่นในมาเลเซียของบริษัทออกแบบมาเพื่อใช้น้ำมันดิบชนิดหนักจากเวเนซูเอลาเป็นหลัก
งบประมาณปี 67 ของไทยที่เลื่อนออกไป ทำให้ปริมาณขายยางมะตอยในประเทศลดลง
ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 66F-67F ลง -9%/8% สะท้อนความผันผวนของราคายางมะตอย ส่งผลให้สมมติฐาน GPM ลดลง ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 66F ลดลง -23%YoY ส่วนปี 67F เติบโต +4%
คงคำแนะนำถือ TASCO ให้ราคาพื้นฐาน 17.90 บาท โดยเลื่อนไปอิงกับ P/E ปี 67F ที่ 10.5 เท่า (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)
นักวิเคราะห์ : ศศิกานต์ อุดมเวศย์ : sasikarnu@th.dbs.com : Tel. 02 857 7833