โอกาสดีขึ้น หลังตั้งรัฐบาลใหม่
• หลังปรับเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ มีโอกาสที่ธุรกิจจะดีขึ้น กรณีได้คืนหนี้ก้อนใหญ่จากกทม.,ต่ออายุสัมปทานหมดปี 72
• การกลับมาประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มใหม่ เป็นเรื่องใหญ่ ที่จะมีโอกาสอีกครั้ง หากได้มูลค่าเพิ่มอีก 1.28 บาท
• การปรับกลยุทธ์ของ SINGER แนวโน้มกำไรดีขึ้น ส่งผลดีต่อ JMART และส่งผลดีต่อมายัง VGI และ BTS
• เพิ่มเป็น ซื้อ ราคาพื้นฐานใหม่ขยับขึ้น จากมูลค่าระยะยาวของ BTS และรวมมูลค่าสายสีเหลือง&ชมพู เพิ่มเติม

คาดการปรับเปลี่ยนรมต.กระทรวงคมนาคม โอกาสจะดีขึ้นล่าสุดตามข่าว รมว.กระทรวงคมนาคมคือ คุณ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคเพื่อไทย เทียบกับเดิมที่ไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่ยังต้องติดตามความคืบหน้าว่าจะเป็นไปตามที่คาดหรือไม่ สำหรับประเด็นใหญ่ๆที่ค้างคาอยู่คือ 1) หนี้ค่าบริหารเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว และส่วนขยาย รวมทั้งค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนขยายของ กทม.ที่มีมูลค่ามากถึง 5-6 หมื่นล้านบาท หาก BTS ได้รับชำระ กระแสเงินสดของบริษัทคาดว่าจะดีขึ้นมาก และ 2) อายุของสัมปทานสายสีเขียวเส้นหลักคือ สายสีลม และสุขุมวิท จะหมดอายุลงในปี 2572 นี้แล้ว เหลือเพียงราว 6 ปีเท่านั้นโดยเรื่องนี้เคยค้างไว้ที่ BTS จะไปร่วมทุนกับกทม.สำหรับสายสีเขียวส่วนขยาย และมีข้อเจรจาเกี่ยวกับการปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย เพื่อลดภาระประชาชน หาก BTS ได้ต่ออายุสัมปทานออกไปมูลค่าหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นได้

การกลับมาประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มใหม่ เป็นเรื่องใหญ่ แม้ว่า BEM เป็นผู้เสนอราคาตํ่าสุดในการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก เมื่อรัฐบาลสมัยก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่ผ่านการลงมติจากครม. จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะกลับมามีการประมูลใหม่ โอกาสจึงกลับมาเป็นของ BTS อีกครั้งทั้งนี้หากอิงตามราคาที่ทาง BEM เคยเสนอไปที่ 1.28 แสนล้านบาท เราคาดว่าหากในที่สุด BTS กลับมาชนะแล้วได้งานนี้ไป ก็จะได้มูลค่าเพิ่มอีก 1.28 บาท ต่อหนึ่งหุ้น BTS หรือเป็นส่วนเพิ่มสัก 17% จากราคาหุ้นปัจจุบัน นอกจากนี้ในการบริหารเดินรถ ก็อาจจะได้รับสายสีส้มตะวันออกซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่มีผู้บริหารเดินรถ ถือว่าได้อีก 1 สายเลยทีเดียว

การปรับกลยุทธ์ของ SINGER ถือเป็นเรื่องดี ในงวด 2Q66 ที่ผ่านมาถือว่า SINGER ได้ตั้งสำรองหนี้ด้อยคุณภาพไปมาก ราว 2.9 พันล้านบาท ทำให้ตั้งแต่ Q66F จะตั้งสำรองหนี้ฯ ในปริมาณปกติ หรือลดลง q-o-q รวมทั้งได้ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลดีมายัง JMART และ RABBIT ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ VGI เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน JMART ก็จะพลอยได้รับผลดี แล้วในที่สุด BTS ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทร่วม VGI และ RABBIT ก็จะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวนั่นเอง นอกจากนี้ VGI อยู่ในช่วงการพิจารณาลดภาระขาดทุนจาก KEX ด้วยเทคนิคที่เป็นไปได้คือ 1) ขายหุ้น KEX จากที่ถือ15% เป็นตํ่ากว่า 10% ก็จะทำให้ KEX เป็นเพียงบริษัทอื่นๆ หรือ 2) ไม่ส่งคนไปนั่งตำแหน่งบอร์ดใน KEX ก็ถือว่าไม่ได้มีอำนาจในการควบคุม (control) แล้ว ซึ่งทาง VGI คาดว่าจะใช้เวลาราว 1-2 ไตรมาสที่จะทราบผลการตัดสินใจ

เพิ่มราคาพื้นฐาน BTS อีก 1.09 บาท ซึ่งมาจากการเพิ่มมูลค่าเหมาะสมในระยะยาวที่ 0.37 บาท ต่อ 1 หุ้น BTS และมูลค่าสายสีเหลืองและสายสีชมพู เพิ่มติมอีก 0.72 บาทต่อ 1 หุ้น BTS ทั้งนี้หลังปี 2572 ที่ BTS หมดอายุสัมปทานไป แต่ก็ยังมีธุรกิจอื่นๆที่ดำเนินต่อไป เช่น VGI มีโฆษณาที่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู, การบริหารเดินรถสายสีเขียว,การบริหารพื้นที่สถานีรถไฟฟ้า TURTLE, มอเตอร์เวย์ 2 สาย และการบริหารสนามบินอู่ตะเภา เราจึงเพิ่มอัตราการเติบโตในระยะยาวจาก 1.7% เป็น 3% สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เราได้มีการปรับลดประมาณการขาดทุนให้เป็น -27 ล้านบาทต่อสาย ในปีแรกๆ จากเดิมที่ -133 ล้านบาท ข้อดีคือเมื่อเริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ รฟม.จะให้เงินชดเชยค่าก่อสร้างกลับมาราว 50 พันล้านบาท ในเวลา 10 ปี หรือตกปีละ 5.0 พันล้านบาท แต่การถือหุ้นในบริษัทย่อยที่เป็นผู้บริหารทั้งสองสายนี้จะไม่เต็ม 100% คือเป็น 90% ซึ่งก็คือ EBM และ NBM ตามลำดับ

ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ นอกจากประเด็นบวกต่างๆข้างต้นแล้ว จะมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมอีกคือ 1) รถไฟฟ้าสายสีชมพู(แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 38 กม. จำนวน 32 สถานี จะเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่ต้นปี 2567 ปัจจุบันก่อสร้างคืบหน้าแล้ว 98% คาดว่าทาง VGI จะสามารถไปโฆษณาและติดตั้งร้าน TURTLE Shop ได้เหมือนสายสีเหลือง และ 2) ล่าสุดตุลาการศาลปกครองสูงสุดยืนตามศาลปกครองกลาง ให้กทม.และบ.กรุงเทพธนาคม (KT) ชำระค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายสายสีเขียวให้ BTS จำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท แต่ต้องรอศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินออกมา ซึ่งปกติจะสอดคล้องกับตุลาการ และตัดสินตามมาไม่เกิน 1 เดือน อีกส่วนคือ หนี้ค่าก่อสร้างและติดตั้งรถไฟฟ้า (E&M) สายสีเขียวส่วนขยาย 2.6 หมื่นล้านบาทก็มีความคืบหน้า มีการนำเรื่องเข้าสู่กรรมการวิสามัญแล้ว เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าต้องจ่าย ตามกำหนดการคาดว่าจะนำเรื่องเข้าสู่สภากทม.ในวันที่ 9 ก.ย.66 นี้สำหรับราคาพื้นฐานล่าสุดเป็น 8.55 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOP (Sum of Parts) ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 16% ส่วนยิลด์ปันผลต่อปีจะอยู่ที่ 4.2% ถือว่าน่าพอใจ

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : sombata@th.dbs.com : Tel. 02 857 7835