คาดอาจมีแรงขายทำกำไรช่วงสั้น
* ผู้โดยสารสายสีเหลืองลด เมื่อเริ่มเก็บค่าโดยสาร พอเริ่มเก็บเงินค่าโดยสาร ตั้งแต่ 3 ก.ค.66 วันแรกผู้โดยสารเป็น 4.5 หมื่นราย เทียบจากตอนทดลองวิ่ง สูงสุดเมื่อ 30 มิ.ย.66ที่ 9.2 หมื่นราย ลดลงไป 51% และถือว่ายังห่างไกลจากเป้าหมายเบื้องต้นที่ 1.3 แสนรายต่อวัน ในช่วงปีแรกที่เปิดให้บริการ อีกทั้งทางบัญชีในช่วง 1-3 ปีแรกจะมีผลขาดทุนทางบัญชีเข้ามาก่อน จากการทำงบรวมกับบริษัทย่อยคือ EBM (Eastern Bangkok Monorail) ซึ่ง BTS ถือหุ้นอยู่
90%

* วานนี้ครม.เห็นว่าควรให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้ตัดสินหนี้ที่ กทม.มีต่อ BTS อ้างว่าเป็นภาระผูกพันตัดสินไม่ได้ ทั้งนี้กทม.มีหนี้ทั้งหมดมาถึงปัจจุบันมากถึง 7.9 หมื่นลบ. ดังนั้นโอกาสที่ BTS จะได้รับชำระเงินอาจจะล่าช้าไปเช่นเคย

* คำแนะนำ: รอสะสม เมื่ออ่อนตัว หลัง BTS ปรับขึ้นตั้งแต่เก็งกำไรเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจะเริ่มเปิดดำเนินการมาพอควร อย่างไรก็ตาม จากประเด็นลบข้างต้น คาดว่าสถานการณ์ต่างๆ จะกลับมาดีขึ้นในระยะกลาง-ยาว คือ 1) ประเด็นจำนวนผู้โดยสารสายสีเหลืองน้อย อาจจะเป็นในช่วงแรกที่เพิ่มเริ่มเปิดดำเนินการ แต่เมื่อมีการเรียนรู้ และเส้นทางเดินรถคือ ลาดพร้าว-สำโรง มีภาวะรถติดมาก ก็จะทำให้ผู้โดยสารเพิ่มในอนาคต ส่วนข้อดีของการเริ่มเปิดดำเนินการคือ จะมีรายได้เพิ่มตกปีละ 1.5-2.0 พันล้านบาท และได้รับเงินชดเชยค่ากอ่ สร้างตกปีละ 2.35 พันล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี กระแสเงินสดบริษัทจะดีขึ้นอีกทั้งผลขาดทุนก็เป็นจำนวนที่ไม่ถึงกับมีนัยสำคัญ และ 2) สำหรับในส่วนหนี้ค่าจ้างการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) ราว 2.2 หมื่นล้านบาท จะแยกจากที่กล่าวไว้ข้างต้นขึ้นกับ สภากรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีการประชุมในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ สำหรับส่วนหนี้ที่เป็นค่าบริหารเดินรถ (O&M) จะมีขึ้นเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามา ซึ่งก็คาดว่าจะไม่นานจากนี้ ซึ่งกำหนดการ 13 ก.ค.66 จะเริ่มโหวตนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนราคาพื้นฐานเป็น 9.26 บาท (SOP) คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดี เมื่อการเปิดเมืองของไทยเต็มที่ อีกทั้งภาวะการท่องเที่ยวที่คึกคักก็จะช่วยเพิ่มกิจกรรมการขนส่งได้เป็นอย่างดี

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : sombata@th.dbs.com : Tel. 02 857 7835