Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : NER ปูพรมปี 64 ขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 5 หมื่นตัน/ปี

3,655

HotNews : NER ปูพรมปี 64 ขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 5 หมื่นตัน/ปี 

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (20 กันยายน 2563) "ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ " บิ๊กบอส NER แย้มเจรจาขายหุ้น PP 154 ล้านหุ้น หลังกองทุนตปท.รุมจีบเพียบ พร้อมระบุ Daiwa Fund Consulting Co.Ltd. นักลงทุนสถาบันจากประเทศญี่ปุ่น เขามาถือหุ้นของบริษัทฯ ช่วยขยายฐานลูกค้า-เจาะตลาดญี่ปุ่นคาดเห็นความคืบหน้าในไตรมาส4/63 แย้มปี64 เตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 5 หมื่นตัน/ปี หนุน แตะ 5 แสนตันต่อปี

 

 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับกองทุนต่างประเทศและลูกค้าต่างประเทศหลายรายเพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) โดยจำนวนที่ขายจะไม่เกิน 154 ล้านหุ้น ทั้งนี้คาดการเจรจาจะมีความคืบหน้าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 เริ่มคลี่คลายมากกว่านี้

 


สำหรับปี 2563 บริษัทฯยังคงเป้ายอดขายยางพาราไว้ที่ระดับ 365,000 แสนตันต่อปี หรือคิดเป็น 17,000 ล้านบาท ทั้งนี้ถึงแม้ไตรมาส 2/2563ราคายางจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 40-45 บาทต่อกิโลกรัม แต่ปลายไตรมาส3/2563 ราคายางได้ปรับตัวพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว เนื่อจากดีมานด์ยางเริ่มกลับมาหลังประเทศจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายหลักของบริษัทฯสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19ได้ดี และความต้องการใช้ถุงมือยางก็ได้ดึงซัพลายยางพาราให้ปรับตัวน้อยลง

 


อีกทั้งปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นอีก 170,000 ตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ของกำลังการผลิตใหม่ตั้งแต่ไตรมาส3เป็นต้นไป ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 460,000 ตันต่อปี จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 290,000 ตันต่อปีขณะที่ในช่วงไตรมาส2/2564(ช่วงวันหยุดสงกรานต์)บริษัทฯยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน ด้วยการปรับปรุงเครื่องจักรที่ได้ซื้อมาแล้วก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งลงทุนซื้อเตาอบเพิ่มอีก 1 เตา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทฯเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 500,000 ตันต่อปีตามแผนที่วางไว้ส่วนการที่ Daiwa Fund Consulting Co.Ltd. นักลงทุนสถาบันจากประเทศญี่ปุ่น เขามาถือหุ้นของบริษัทฯนั้นมองว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ โดยบริษัทฯมีแผนเจาะตลาดญี่ปุ่นในอนาคตซึ่งคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในไตรมาส4/2563

 


"โควิด-19ไม่กระทบกับเรามากนัก เรายังดำเนิธุรกิจได้อยู่ โดยในปีนี้เรามีลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามา 4 รายตามนโยบายที่ให้ไว้กับฝ่ายการตลาดที่จะต้องหาลูกค้าเพิ่มเข้ามา 2-4 รายต่อปี และในไตรมาส3เรารับรู้รายได้จากกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ประมาณ 70% ของยอดกำลังการผลิตที่เราเพิ่มเข้ามา แถมราคาขายในปัจจุบันก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีความต้องการสูง "

 

 

นายชูวิทย์ กล่าวนายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงการจำหน่ายแผ่นปูนอนในคอกปศุสัตว์ว่า ปัจจุบันมีคำสังซื้อสินค้า(ออเดอร์)ในมือแล้ว 2 ล้านบาท แต่ทั้งนี้บริษัทฯยังไม่สามารถทำการติดตั้งเครื่องจักที่สั่งจากประเทศไต้หวันได้ ดังนั้นปัจจุบันต้องสั่ง OEM จากโรงงานที่จังหวัดปทุมธานีไปก่อน ส่งผลให้การผลิตสินค้ามีความล่าช้า ส่วนโมเดลการส่งออกสินค้าไปยังประเทศออสเตเลียจะไปในรูปแบบการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายซึ่งปัจจุบันได้มีการเจรจาทำข้อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถส่งสินค้าไปยังออสเตเลียได้ในปี 2565

 

 

อนึ่งก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่าบริษัทได้รายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าได้ขายหุ้นให้นักลงทุนสถาบัน คิดเป็น 4.8701% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 1,540 ล้านหุ้น โดยเป็นหุ้นในส่วนของ นางสาวมธุชา จึงธนสมบูรณ์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์

 

 

ทั้งนี้ ในการรายงานระบุการขายหุ้นของ นางสาวมธุชา จึงธนสมบูรณ์ จำนวน 75 ล้านหุ้น ให้แก่ Daiwa Fund Consulting Co.Ltd. นักลงทุนสถาบันจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกองทุนยักษ์ใหญ่และเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่นที่มีความแข็งแรงด้านการบริหารการเงิน และมีประวัติการคัดเลือกหุ้นน้ำดีเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่อง และอีกเหตุผลที่ NER เป็นหุ้นที่ Daiwa ติดตามความความสามารถและการเติบโตของ NER มาอย่างต่อตั้งแต่บริษัทได้เคยนำเสนอข้อมูลของบริษัทให้ทางกองทุนรู้จักที่ญี่ปุ่นที่ในช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา

 

 

นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเราได้รับการติดต่อจากตัวแทนของกองทุน Daiwa หลังจากที่ไปนำเสนอข้อมูลว่า ทางกองทุนต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นของกิจการ โดยมองที่ผลการดำเนินงานที่มีกำไรคงที่และต่อเนื่อง ทั้งยังมองเห็นการทำงานบนพื้นฐานที่ไม่เสี่ยงโดยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท คือการซื้อขายแบบจับคู่วัตถุดิบและยอดสั่งซื้อ (Matching order) ในทุกวัน ไม่มีการกักตุนวัตถุดิบและมองเห็นการเติบโตของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานใหม่ที่เพิ่งแล้วเสร็จ

 

 

บริษัทมองว่าเป็นผลดีต่อบริษัท ในแง่ที่บริษัทได้รับความเชื่อมั่นจากกองทุนขนาดใหญ่ว่าเป็นกิจการที่มีพื้นฐานที่ดี มีการบริหารจัดการที่เป็นที่ยอมรับและทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดีขึ้นจากการที่มีสถาบันมาลงทุนในหุ้นของบริษัทน่าจะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของกิจการแข็งแรงขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นผลบวกต่อบริษัท

 

 

 

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร "NER" ที่ "BB+" แนวโน้ม "Stable"

 

 

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางในธุรกิจยางธรรมชาติของประเทศไทยและผลงานที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านการผลิตและการจำหน่ายยางธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ของบริษัทเพื่อที่จะลดความผันผวนของราคายางธรรมชาติลงบางส่วนอีกด้วย

 

 

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากปัจจัยลบหลายประการ เช่น ความผันผวนของราคายางธรรมชาติ สภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง การแทรกแซงจากรัฐบาล การมีประเภทสินค้าที่ค่อนข้างจำกัด การกระจุกตัวของตลาด และการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังประเมินถึงระดับภาระหนี้สินของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเกิดจากการลงทุนในการขยายธุรกิจด้วย

 


ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ธุรกิจยางธรรมชาติยังคงเผชิญกับความท้าทายจากรายงานขององค์กรศึกษาเรื่องยางระหว่างประเทศ (International Rubber Study Group -- IRSG) พบว่าในปี 2562 ผลผลิตยางธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงพร้อมกับความต้องการบริโภคที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงทำให้ราคายางธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ราคายางธรรมชาติโดยเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 11%-15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากอุปสงค์ในธุรกิจยานยนต์อ่อนตัวลงในช่วงที่มีมาตรการปิดเมืองเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางรายซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติในประเทศไทยยังคงสามารถบริหารธุรกิจจนผ่านพ้นและฟื้นตัวกลับมาได้จากช่วงที่อุปสงค์ลดลงอย่างมาก ซึ่งบางส่วนนั้นเป็นผลมาจากการที่ผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ในประเทศจีนจำนวนมากกลับมาเปิดโรงงานผลิตเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

 

ทั้งนี้ สภาวะช็อกของอุปสงค์ยางธรรมชาติในช่วงที่มีมาตรการปิดเมืองนั้นส่งผลทำให้ธุรกิจชะลอตัวและผู้ประกอบการยางธรรมชาติบางรายที่มีปัญหาทางการเงินต้องหยุดดำเนินกิจการ ดังนั้นผู้ประกอบการที่ยังคงอยู่ในตลาดได้จะได้รับประโยชน์จากการได้รับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการบางรายออกจากตลาดไปทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจยางธรรมชาติจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงปี 2564-2565 โดยคาดว่าผลผลิตยางธรรมชาติในประเทศไทยจะลดลงประมาณ 1 ล้านตันในปี 2563 และหลังจากนั้นจะเติบโตในอัตราที่ช้าลงที่ระดับ 2% ต่อปีในช่วงปี 2564-2565 ซึ่งการเติบโตที่ช้าลงนั้นเกิดจากการขาดผลตอบแทนที่จูงใจในการปลูกต้นยางใหม่ รวมไปถึงความล่าช้าในการปลูกต้นยางพารารุ่นใหม่ และการโค่นต้นยางพาราเพื่อใช้พื้นที่ปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลกำไรมากกว่า ทั้งนี้ การบริโภคยางธรรมชาตินั้นคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2563 ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคายางธรรมชาติยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปตลอดทั้งปีและหลังจากนั้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

 


เป็นผู้ประกอบการยางธรรมชาติขนาดกลาง
บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในแง่ของยอดขายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติอยู่ที่ประมาณ 1%-2% ซึ่งใกล้เคียงกับผู้ผลิตยางธรรมชาติขนาดกลางรายอื่น ๆ ส่วนใหญ่แต่น้อยกว่าผู้ผลิตที่เป็นผู้นำค่อนข้างมาก โดยผู้ผลิตที่เป็นผู้นำในตลาดมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 10% บริษัทมีรายได้อยู่ในระดับปานกลางที่ประมาณ 1-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560-2562 โดยมีรายได้รวมอยู่ในอันดับที่ 4-5 ของผู้ประกอบการยางธรรมชาติในประเทศไทย การที่บริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศจีนเป็นหลักจึงทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของตลาด ในปี 2562 บริษัทส่งออกยางธรรมชาติไปยังประเทศจีนคิดเป็นประมาณ 61% ของรายได้ส่งออกรวมของบริษัท และที่เหลือ 39% ส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ บริษัทมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับกลุ่มลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ผลการดำเนินงานยังคงผันผวน

 

 


แม้ว่าธุรกิจแปรรูปยางธรรมชาติจะมีการพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก แต่ต้นทุนวัตถุดิบกลับมีสัดส่วนถึง 95%-97% ของต้นทุนการผลิตรวม ดังนั้น ผู้ประกอบการแปรรูปยางธรรมชาติจึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคายางค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมักมีกำไรและกระแสเงินสดที่มีความแปรปรวนอยู่เสมอ บริษัทจึงมีความพยายามที่จะลดความเสี่ยงด้านราคารวมทั้งสร้างเสถียรภาพของกำไรและกระแสเงินสดโดยใช้กลยุทธ์การซื้อขายแบบ Back-to-back ซึ่งมีการบริหารจัดการปริมาณขายและปริมาณซื้อให้สอดคล้องเหมาะสมกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งความเสี่ยงในด้านราคาก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในช่วงที่ราคายางพารามีความผันผวนเป็นอย่างมากบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิที่ค่อนข้างน้อยและไม่แน่นอนโดยจะผันผวนไปตามราคายางพาราและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อย่างไรก็ตาม บริษัทก็สามารถลดผลกระทบในด้านลบจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติได้บางส่วนโดยทำการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) บริษัทมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.7% ในปี 2562 จากเดิมที่ระดับ 8.1% ในปี 2561 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้นและเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 8% เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ 6.5% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากการที่บริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบยางธรรมชาติโดยเฉลี่ยที่ลดลง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 5% ในระหว่างปี 2563-2565

 

 

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าปริมาณการผลิตของบริษัทจะเติบโตยิ่งขึ้นจากการฟื้นตัวของธุรกิจยานยนต์และภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก  ภาระหนี้อยู่ในระดับสูงระดับภาระหนี้ของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.9% ในปี 2562 และ 60% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 จากระดับ 56.8% ในปี 2561 ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทมีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นพร้อมทั้งยังมีค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูงขึ้นอีกด้วย ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลทำให้ภาระหนี้และความเสี่ยงทางด้านการเงินของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 523 ล้านบาทในปี 2563 และ 100-190 ล้านบาทในปี 2564-2565 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนขยายกำลังการผลิตของโรงงานแปรรูปยางแท่ง ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะคงอยู่ในระดับสูงที่ 65% ในช่วงปี 2563-2565 กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้อยู่ในระดับที่เพียงพอ

 


ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่จำนวน 68 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 300 ล้านบาทในช่วงระยะเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ณ เดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดทั้งสิ้นจำนวน 168 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่ทั้งสิ้นอีกจำนวน 310 ล้านบาทในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5% ในช่วงปี 2563-2565 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน

 

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
+ รายได้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงประมาณ 8% ในปี 2563 และจะเติบโต 3%-5% ต่อปีในช่วงปี 2564-2565
+ อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับ 8% ในปี 2563-2565


แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจยางธรรมชาติได้ต่อไป โดยที่บริษัทจะรักษาสถานะสภาพคล่องและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่งบดุลให้เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง


อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพของกำไรและการสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานพอสมควร ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ความสามารถในการทำกำไรหรือผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงอย่างต่อเนื่องยาวนาน นอกจากนี้ การลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากที่อาจทำให้งบการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงก็จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง


- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558


บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER)
อันดับเครดิตองค์กร: BB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

Thailand Focus By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ วันแรก งานThailand Focus 2025 เช้าวันนี้ หุ้นไทยบวก 5.22 จุด บ่ายวันนี้ ...

PTG มุ่งมั่นปลูกฝัง DNA ความยั่งยืน ได้รับเกียรติบัตร "โครงการ ESG DNA" จากตลาดหลักทรัพย์ฯ

PTG มุ่งมั่นปลูกฝัง DNA ความยั่งยืน ได้รับเกียรติบัตร "โครงการ ESG DNA" จากตลาดหลักทรัพย์ฯ

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้