HotNews : เมย์แบงก์ฯ คำราม! กำไรโค้ง 2 โตทะลัก 1,437.64%

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (31 กรกฎาคม 2563) "มนตรี ศรไพศาล" แห่ง MBKET เผยโค้ง2 กำไรกระฉูด 107.02 ล้านบาท โต1,437.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 6.96 ล้านบาท ดันครึ่งปีแรก 63 โกยกำไร 241.69 ลบ. หลังรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น รับวอลุ่มเทรดพุ่ง 39 %

 

 

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) MBKET เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 107.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ1,437.64 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 6.96 ล้านบาท บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่มีสาระสำคัญดังนี้

 

 

1. รายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 208.55 ล้านบาท จาก 333.02 ล้านบาท เป็น 541.57 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.62 เนื่องจาก

 

 

1.1 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 203.56 ล้านบาท จาก 301.21 ล้านบาท เป็น 504.77 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.58 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 53,799 ล้านบาท/วันเป็น 70,418 ล้านบาท/วัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.89 และสัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัทเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32.90 เป็นร้อยละ 48.01 อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 17,701ล้านบาท/วัน เป็น 33,809 ล้านบาท/วัน หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 91

 

 

1.2 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 4.99 ล้านบาท จาก 31.81 ล้านบาท เป็น 36.80 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.69

 

 

 

2. รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 16.29 ล้านบาท จาก 21.50 ล้านบาท เหลือ 5.21 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 75.77เนื่องมาจาก ค่าธรรมเนียมจากที่ปรึกษาทางการเงินลดลง 16.25 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นลดลง 0.04 ล้านบาท

 

 

 

3. รายได้อื่นลดลง 50.43 ล้านบาท จาก 194.53 ล้านบาท เหลือ 144.10 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 25.92 เนื่องมาจาก รายได้ดอกเบี้ยลดลง 56.69 ล้านบาท และรายได้อื่นลดลง 8.52 ล้านบาท ในขณะที่ กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น14.78 ล้านบาท

 

 

 

4. ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 10.48 ล้านบาท จาก 541.69 ล้านบาท เป็น 552.17 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.93เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 30.71 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 7.46 ล้านบาท และหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 0.06 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และ ค่าใช้จ่ายอื่นลดลง 17.03 ล้านบาท และ11.15 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในงวดปัจจุบัน บริษัทมีรายการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 0.43 ล้านบาท ทั้งนี้ รายการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เป็นผลมาจากการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 “เครื่องมือทางการเงิน” ซึ่งเป็นมาตรฐานฉบับใหม่ มาถือปฎิบัติในงวดปัจจุบัน นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานของปีก่อนได้รวมต้นทุนบริการในอดีตจำนวน 39 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน

 

 

 

5. ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 31.29 ล้านบาท จาก 0.40 ล้านบาท เป็น 31.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7,822.50เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการด าเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1,437.64

 

 

สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 241.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ517.19 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 39.16 ล้านบาท บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่มีสาระสำคัญดังนี้

 

 

1. รายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 380.70 ล้านบาท จาก 668.81 ล้านบาท เป็น 1,049.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.92 เนื่องจาก

 

1.1 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 341.42 ล้านบาท จาก 605.77 ล้านบาท เป็น 947.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.36 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 49,365 ล้านบาท/วัน เป็น68,617 ล้านบาท/วัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 และสัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัทเพิ่มขึ้นจากร้อย ละ 34.59 เป็นร้อยละ 42.92 อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 17,170 ล้านบาท/วันเป็น 29,448 ล้านบาท/วัน หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 71.51

 

1.2 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 39.28 ล้านบาท จาก 63.04 ล้านบาท เป็น 102.32ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.31

 

 

2. รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 10.28 ล้านบาท จาก 29.19 ล้านบาท เหลือ 18.91 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 35.22เนื่องมาจาก ค่าธรรมเนียมจากที่ปรึกษาทางการเงินลดลง 14.75 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นเพิ่มขึ้น 0.47 ล้านบาท

3. รายได้อื่นลดลง 64.27 ล้านบาท จาก 438.16 ล้านบาท เหลือ 373.89 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 14.67 เนื่องมาจากรายได้ดอกเบี้ยลดลง 75.80 ล้านบาท และรายได้อื่นลดลง 10.78 ล้านบาท ในขณะที่ กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น22.31 ล้านบาท

 

4. ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 44.55 ล้านบาท จาก 1,089.12 ล้านบาท เป็น 1,133.67 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.09เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงาน และ ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 63.66 ล้านบาท และ 29.52 ล้านบาทตามลำดับ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 19.69 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายอื่นลดลง 27.22 ล้านบาท และ หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลง 0.23 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม ในงวดปัจจุบัน บริษัทมีรายการโอนกลับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ค่าใช้จ่ายลดลง) จำนวน 1.49ล้านบาท ทั้งนี้ รายการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เป็นผลมาจากการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9“เครื่องมือทางการเงิน” ซึ่งเป็นมาตรฐานฉบับใหม่ มาถือปฎิบัติในงวดปัจจุบัน นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานของปีก่อนได้รวมต้นทุนบริการในอดีตจำนวน 39 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน

 

 

5. ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 59.06 ล้านบาท จาก 7.88 ล้านบาท เป็น 66.94 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 749.49 เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 517.19