Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : GUNKUL คว้าชัยงานนำสายสื่อสารลงใต้ดินกรุงเทพฯ มูลค่า 5 พันลบ. / GULF ดันกำลังการผลิต ปี 62-67 โตเฉลี่ย 20%

3,050

HotNews : GUNKUL คว้าชัยงานนำสายสื่อสารลงใต้ดินกรุงเทพฯ มูลค่า 5 พันลบ. / GULF ดันกำลังการผลิต ปี 62-67 โตเฉลี่ย 20%

 

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (24 เมษายน   2562). ผลงานสุดปังนำโดย   GUNKUL  เผยกิจการร่วมค้า “จีเคอี แอนด์ เอฟอีซี” คว้างานก่อสร้างโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินกรุงเทพฯ พื้นที่ 3 มูลค่าราว 5  พันลบ.   ดันงาน EPC ทะลุ 7 พันลบ.   ด้าน “โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์” เผยต่อจากนี้ได้เห็นโปรเจคใหม่ไหลเข้ามืออีกเพียบ หนุนรายได้และกำไรโตแข็งแกร่ง 

 

นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) เปิดเผยว่า กิจการร่วมค้า จีเคอี แอนด์ เอฟอีซี ซึ่งเป็นการร่วมค้าระหว่าง GUNKUL และ บริษัทฟิวเจอร์ อีเล็คทริคอล คอนโทรล จำกัด (FEC) (ถือหุ้นโดย บริษัท กันกุล พาวเวอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (GPD) บริษัทย่อยของ GUNKUL) ได้รับหนังสือยืนยันการจ้างงานวิศวกรรม-จัดหา-ก่อสร้าง (EPC) โครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ พื้นที่ 3 มูลค่างานรวมภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 5,000 ล้านบาท

 

“จากการที่กิจการร่วมค้าได้รับงาน EPC โครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ พื้นที่ 3 แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในศักยภาพของกลุ่มบริษัทฯ และบริษัทร่วมค้า ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ผ่านคุณสมบัติครบถ้วนจากการพิจารณาจาก บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ทางบริษัทฯ ต้องขอขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจในการพิจารณาในครั้งนี้” นางสาวโศภชากล่าว

 

ทั้งนี้บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันให้รายได้และกำไรเติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ซึ่งการรับงานในครั้งนี้ ช่วยสนับสนุนงาน EPC ในมือ (Backlog) พุ่งเกิน 7,000 ล้านบาท ทำให้มั่นใจรายได้ในปีนี้จะเติบโตตามเป้าคือ แตะระดับ 8,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 25%

 

อย่างไรก็ตามในวันที่ 25 เมษายน 2562 จะเป็นวัน XD สำหรับผู้ซื้อหุ้นที่จะไม่ได้รับสิทธิหุ้นปันผลในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล ในราคา 0.05 บาทต่อหุ้น และปันผลเป็นเงินสดอีก 0.01 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 445,931,074.75 บาท โดยกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2562

 

 

 

 


ด้าน GULF ตั้งเป้า 6 ปี (62-67) กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นโตเฉลี่ยปีละ 20% จากสิ้นปี 62 อยู่ที่ 2,673 MW อยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว - พลังงานลมในโอมาน เผยประชุมผถห. วันนี้ ไฟเขียวออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 2 หมื่นลบ. รองรับการขยายธุรกิจในอนาคต วางงบลงทุนรวมเฉลี่ยปีละ 1 แสนลบ. ขยายธุรกิจต่อเนื่อง

 

 

นายสารัชต์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) GULF เปิดเผยในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ในวันนี้ว่า บริษัทฯได้มีการวางเป้าหมาย 6 ปี (2562-2567) ที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเติบโตเฉลี่ยปีละ 20%

 

 

โดยสิ้นปี 2562 บริษัทคาดว่ากำลังการผลิตจะอยู่ที่ 2,673 เมกะวัตต์ (MW) จากสิ้นปี 2561 กำลังการผลิตอยู่ที่ 2,253 MW โดยปัจจุบัน (มี.ค.62) บริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2,448MW และจะมีการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์เข้าระบบ(COD) ภายในวันที่ 1 พฤษภาคม และ 1 กรกฎาคม ต่อเนื่อง ส่งผลให้ภายในสิ้นปี 2567 บริษัทจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 6,721 MW โดยแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) 75% โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) 21% และพลังงานหมุนเวียน 4%

 

ทั้งนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่สปป.ลาว เนื่องจากบริษัทเห็นว่าลาวเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจดีและรัฐบาลลาวได้มีการตั้งเป้าหมายสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม เพื่อรองรับความต้องการในการใช้ไฟในประเทศที่เพิ่มขึ้น 13.2% ต่อปี ประกอบกับรัฐบาลลาวมีนโยบายที่จะมีการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย ดังนั้นบริษัทต้องมีการเข้าไปศึกษาตั้งแต่ตอนนี้เพื่อหาโอกาสในการลงทุนต่อไป

 

 

พร้อมกันนี้บริษัทก็ได้มีการศึกษาโครงการไฟฟ้าพลังงานลม ,ก๊าซธรรมชาติ และการก่อสร้างคลัง LNG ที่ประเทศโอมานเพิ่มเติมหลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ แล้วประมาณ 326 MW โดยในส่วนของคลัง LNG ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษา คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้

 

สำหรับงบลงทุนของบริษัท วางไว้เฉลี่ยปีละประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยมีทั้งกระแสเงินสดของบริษัท และเงินกู้จากสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจให้มีการเติบโตต่อเนื่อง

 

ขณะเดียวกันที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ได้มีการอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท หรือจำนวนเทียบเท่าในสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อเป็นการรองรับการขยายธุรกิจและการลงทุนในอนาคตของบริษัท โดยหุ้นกู้จะมีอายุไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่ออกหุ้นกู้

 

ส่วนกรณีที่ กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ในกลุ่มบริษัทปตท (PTT) , บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ (GULF) , บริษัท China Harbour Engineering Commpany Limited ได้มีการผ่านคุณสมบัติ หลังจากที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้มีการเปิดซองคุณสมบัติในการยื่นประมูล โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F บริษัทมองว่าหากกลุ่มกิจการร่วมค้าของบริษัทชนะการประมูล ในส่วนของบริษัทเองมีกระแสเงินสดเพียงพอต่อการลงทุนดังกล่าว โดยในส่วนของแหลมฉบังบริษัทจะตาดว่าจะถือหุ้นในสัดส่วน ประมาณ 30%

 

 

ซึ่งมูลค่าโครงการที่เอกชนต้องมีการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 (ช่วงที่1) บริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 70% โดยบริษัทจะรับผิดชอบในส่วนของการถมทะเล ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท

 

"การลงทุนโครงการใน อีอีซี ทั้ง 2 โครงการ ทั้งในส่วนของท่าเรือแหลงฉบัง และมาบตาพุด เรามองว่าทั้ง 2 โครงการเป็นหัวใจของประเทศ เนื่องจากแหลมฉบังท่าที่ 1 และ 2 ที่มีอยู่ มีขนาดเล็กมาก ทำให้เราไม่สามารถถ่ายเทสินค้าได้เต็มที่ ต้องไปถ่ายที่สิงคโปร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ท่าที่ 3 จะสามารถช่วยตรงนี้ได้ ส่วนมาบตาพุด รัฐบาลจะมีการเปิดนำเข้า LNG หากไม่ดำเนินการตรงนี้ ปิโตรเคมีจะมีการทำให้การลงทุนจากต่สงประเทศเข้าไปที่เวียดนามได้ และ 2 โครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ " นายสารัชต์ กล่าว

 


นอกจากนี้ นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) GULF เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้ขยายธุรกิจไปในประเทศเวียดนาม โดยเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมขนาดก าลังการผลิตตั้งรวมทั้งสิ้นประมาณ 460 เมกะวัตต์ โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สองแห่งแรกได้แก่ TTCIZ-01ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 68.8 เมกะวัตต์ และ TTCIZ-02 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 50.0 เมกะวัตต์ ได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเดือนมีนาคม 2562 และเมษายน 2562 ตามลำดับ

 


เนื่องจากบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศเวียดนามและพิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการMekong Wind Power Joint Stock Company (“โครงการ Mekong”) เป็นโครงการที่มีศักยภาพที่จะรองรับความต้องการใช้ ไฟฟ้าของประเทศเวียดนามในอนาคต ดังนั้น เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2562 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ

 

 

จึงมีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการMekong ผ่านบริษัท Gulf International Holding Pte. Ltd. (“GIH”) จากร้อยละ 49 เป็นร้อยละ 95 โดยในวันที่ 25 เมษายน 2562 GIH จะเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาผู้ถือหุ้นกับ Ms. Huynh Bich Ngoc ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Thanh Thanh Cong Group (“TTC Group”) และจะชำระค่าหุ้นที่ราคาพาร์ เป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถดำเนินการโอนหุ้นได้หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

 


โครงการ Mekong ตั้งอยู่ที่ตำบล Binh Daiจังหวัด Ben Tre ประเทศเวียดนาม มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้นประมาณ 340 เมกะวัตต์ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล (Offshore Wind Farm) ขนาด 310 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 30 เมกะวัตต์ โดยโครงการดังกล่าวจะผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity: EVN) เป็นระยะเวลา 20 ปี ทั้งนี้ โครงการพลังงานลมในทะเล จะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาสที่สามของปี2562 และจะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2564 ถึง 2566 สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 30 เมกะวัตต์นั้น กำลังอยู่ระหว่างการรออนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าประเทศเวียดนาม

 

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า ในวันที่24 เมษายน 2562ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ บริษัทฯ จัดตั้งบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท แบงค็อก สมาร์ท เอ็นเนอร์จี จำกัด (“BSE”) ด้วยทุนจดทะเบียน 999,000 บาท โดยบริษัทฯ จะถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100.00 ของทุนจดทะเบียน

 

 

ซึ่ง BSE จัดตั้งขึ้นเพื่อถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) เพื่อดำเนินโครงการระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และระบบผลิตน้ำเย็นแบบรวม ศูนย์(District Cooling System) ให้ แก่โครงการ One Bangkok ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร

 


ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญทางธุรกิจดังกล่าว โดยภายหลังจากการร่วมทุนกับพันธมิตรแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ ใน BSE จะลดลงเหลือร้อยละ 33

 

 

GUNKUL       GULF

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

TERA เปิดเทรดวันแรกราคาพุ่งเหนือจอง 122.86 %

TERA เปิดเทรดวันแรกราคาพุ่งเหนือจอง 122.86 %

คุมเชิง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มองเกมหุ้นภาพรวม น่าจะเป็นรูปแบบการเทรด การเล่นคุมเชิง เน้นเล่นรอบ เล่นสั้น บนปัจจัยบวกใหม่...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้