Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

496

 

"Domestic Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1446/1450 จุด รับ 1425/1420 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งตัวรอรายงาน ยอดค้าปลีก และ ผลผลิตอุตสาหกรรม (วันนี้) ผลประชุม Fed (19 ก.ย.เช้า) ดัชนี S&P500 ปิด +0.13% กลุ่ม Value (ธนาคาร, พลังงาน, สื่อสาร, สาธารณูปโภค) นำ ทิศทางดังกล่าวยังหนุนภาพลงทุนฝั่งอาเซียนและไทยที่มีสัดส่วนหุ้น Value สูง ขณะที่กำลังมีภาพเศรษฐกิจฟื้นตัว ภายในวันนี้ติดตามการประชุม ครม.ใหม่นัดแรก คาดพิจารณาโครงการ Digital Wallet เฟสถัดไป เรามองน่าจะเดินหน้าต่อได้ การลงทะเบียนกลุ่มผู้มีสมาร์ทโฟน 36 ล้านคน และทั้งโครงการรัฐบาลประเมิน 40 +/- ล้านคน ทำให้การใช้งบน่าจะต่ำกว่ากรอบ 45 ล้านคน มองมีโอกาสช่วยลดความกังวลผลกระทบเงินเฟ้อ เปิด Downside ลดดอกเบี้ย ทุกๆ -25 bps จะบวกต่อ SET 40-50 จุด นอกจากนี้ ติดตามการพิจารณา 3 Mega Projects มูลค่า 1 แสนล้านบาท โดยรวมคาดตลาดวันนี้แกว่งขึ้นได้ต่อ โดยมีหุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก รับเหมา ธนาคาร) กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ) กลุ่มท่องเที่ยว (มีสัญญาณเริ่มฟื้นก่อนเข้าฤดูกาลไตรมาส 4) วันนี้แนะ AOT, CPALL, STEC

 

Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1446/1450 จุด รับ 1425/1420 จุด

What happened around the world ?

• (+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ปรับขึ้นต่อเข้าใกล้จุดสูงสุด อิง Dow jones (+0.55% แรงหนุนจาก Cisco +2.5%, Goldman sach +1.3%) ส่วน S&P500 +0.13%d-d, แต่ Nasdaq -0.51%d-d (กลุ่ม Tech เป็นกลุ่มที่กดดัชนี) ตลาดรอการประชุมเฟดกลางสัปดาห์และยังคาดจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังตัวเลขเศรษฐกิจหนุน โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นทุกกลุ่ม โดยกลุ่มที่ Outperform คือ Financials,Energy, Materials ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ ฯลฯ Oracle +5.12%, Intel +6.36% Semic conductor อาทิ NVDIA -1.95%, Broadcom -2.2% มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในไทย

• (*) US Election : MUFG ออกรายงาน "The Road to 270: A Closer Look at Markets & the 2024 US Presidential Election" เราเห็นว่ามีมุมมองที่น่าสนใจ 1. ) Swing State: MUFG มองไม่มีคะแนนเสียงเด็ดขาด (Swing State) 2.) Corporate Tax Policy: Democrat จะไม่ต่ออายุการลดอัตราภาษีของบริษัทจดทะเบียน โดยจะกลับไปที่ระดับ 28% ขณะที่ Republican นำเสนอการตัดลดอัตราภาษีบริษัทจดทะเบียนลงสู่ระดับ 15% 3.) นโยบายกับจีน: Democrat มีแนวโน้มคงอัตราภาษีการค้าที่มีต่อจีนไว้ดังเดิม และยังมุ่งเน้นการกีดกันทางการค้าผ่านทางกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ Republican เตรียมขึ้นภาษีกีดกันทางการค้ากับจีนสู่ระดับ 60% และมุ่งเน้นการกีดกันทางการค้าผ่านกลุ่มเทคโนโลยีเช่นกัน 4.) Monetary Policy: มองว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงมีอยู่ โดยที่ประธานธนาคารกลาง Jerome Powell จะดำรงตำแหน่งจนถึงปี 2026 5. )Equity Market: ตลาดหุ้นสหรัฐมักจะให้ผลตอบแทนเชิงบวกได้ดีหลังการเลือกตั้ง (Election Rally) 6.)Bond Market: มองว่าทั้ง Democrat และ Republican มีแผนที่จะใช้แนวนโยบายการคลังแบบขยายตัว ซึ่งการใช้นโยบายลักษณะดังกล่าวเป็นลบต่อตลาดพันธบัตร หนุนเรามองภาพช่วงรอยต่อก่อนการเลือกตั้ง โอกาสที่ตลาดหุ้นฝั่ง EM Asia โดยเฉพาะอาเซียนที่ยัง Outperform

• (*) US Econ : ดัชนีการผลิตของ Empire State ``New York เดือน ก.ย. พลิกเป็นบวกอีกครั้งที่ 11.5 จุด ดีกว่าตลาดคาดที่ติดลบ สะท้อนมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft landing

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปี ปรับลง 2 วันติด -3 bps อยุ่ที่ 3.55%(ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน อายุ 10 ปีแกว่งยู่ที่ 3.62% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ยังคงมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ประกันชีวิต ระยะสั้น ส่วน Dollar Index อ่อนค่าลงต่อ 100.3จุด

• (*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 17 ก.ย. ติดตามดัชนีค้าปลีก ส.ค. คาด -0.2%m-m vs prev. +1.0%m-m, ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด +0.1%m-m vs prev. -0.6%m-m 18 ก.ย. ยอดการขอสร้างบ้านใหม่ คาด 1.31 ล้านหลัง vs prev. 1.238 ล้านหลัง, 19 ก.ย. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ส.ค. คาด 3.9 ล้านหลัง vs prev. 3.95 ล้านหลัง 19 ก.ย. ติดตามผลการประชุม Fed ตลาดคาดปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.0% - 5.25

•(+) Oil : ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวอีกครั้ง Brent +1.59%d-d ปิดที่ US$ 72.75/barrel น้ำมันดิบ West Texas +2.10%d-d ปิดที่ US$ 70.09/barrel หนุนจากการหยุดการผลิตน้ํามันในอ่าวสหรัฐฯ และความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed. เกือบ 20% ของการผลิตน้ํามันในอ่าวเม็กซิโกยังคงออฟไลน์เนื่องจากพายุเฮอริเคนฟรานซีน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำระยะสั้น เน้น PTTEP (เก็งกำไร และมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมัน) และ PTT

 

What happened in Thailand ?

(+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวขึ้น +10.89 จุด หรือ 0.76% ปิดที่ 1435.39 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์เป็นกลุ่มแรกจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ เบื้องต้นคาดภาครัฐจะโอนเงินให้กับประชาชนได้ในวันที่ 25 ก.ย.นี้ กลุ่มพลังงาน (PTT) ราคาน้ำมันเริ่มรีบาวน์หนุนจิตวิทยาลบลดน้อยลง นอกจากนี้ กลุ่มเด่นอื่น คือ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, KTC, SAWAD) หนุนจากเป็นอีกกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์เป็นกลุ่มแรกจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ+ความคาดหวังจิตวิทยาบวกการเริ่มปรับลดดอกเบี้ยฝั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ กลุ่มปิโตรเคมี (IVL, PTTGC) มองเป็นหุ้นโซนต่ำ ประกอบกับนักลงทุนคาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวของ Spread ปิโตรเคมี หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มถ่วงหลัก คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA)

(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ขายพันธบัตร -2.0 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +10.5 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long 5,113 สัญญา เงินบาทยังอยู่ในโซนแข็งค่า 33.25 +/- บาท

(*/+) Cabinet: วันนี้ (17 ก.ย.) ติดตาม การประชุม ครม. ครั้งแรก ภายใต้การนำนายกแพรทองธาร ชินวัตร คาดว่าจะมีการพิจารณา

i) นโยบาย Digital Wallet ที่จะปรับปรุงใหม่ ทั้งนี้ การเดินหน้าโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าว ความชัดเจน Digital Wallet โดยเฉพาะในส่วนเฟสที่ 2 ขณะที่เฟส แรก การจ่ายเงินให้กับกลุ่มเปราะบาง+ผู้พิการ 14.5 ล้านคน คาดเป็นไปตามกระแสข่าวที่จะสนับสนุนเป็นเงินสดผ่านระบบพร้อมเพย์ 25-30 ก.ย. นี้ หนุนเรามองบวกต่อกลุ่มหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC) ธนาคาร (KBANK, BBL) เช่าซื้อ (MTC, JMT)

ii) การพิจารณาโครงการ Mega Projects ที่กระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอ 3 โครงการ (ทางด่วน 2 โครงการ รถไฟชานเมือง 1 โครงการ) มูลค่า 1.0 แสนล้านบาท ส่วนกรณี Mega Projects เรามองบวกต่อกลุ่มรับเหมา (STEC, CK) วัสดุก่อสร้าง (SCC)

(*/+) Digital Wallet: ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีสมาร์ทโฟน ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" ซึ่งเปิดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย.2567 มียอดการลงทะเบียนทั้งสิ้น 36 ล้านคน โดยคาดทั้งโครงการไม่เกิน 40 ล้านคน (รมว.คลัง คาด 40-41 ล้านคน) โดยรวมเรามองบวกจากโอกาสที่รัฐฯจะใช้งบน้อยกว่าที่ตั้งกรอบไว้สำหรับ 45 ล้านคน ทำให้โอกาสเกิดการสนับสนุนเฟส 2 น่าจะเกิดขึ้นได้ และน่าจะส่งผลให้ความกังวลที่สร้างผลกระทบเงินเฟ้อจากนโยบายดังกล่าวต่ำลง ผสาน Real Yield ที่เป็นบวกมานาน 14 เดือน ยังเชื่อว่ายังมีโอกาสเห็น Downside การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายปี 1 ครั้ง ทั้งนี้ จากการศึกษา KSS พบว่าดอกเบี้ยที่ลดลง -25 bps มักบวกต่อตลาดราว 40-50 จุด และเป็นบวกต่อหุ้นดอกเบี้ยขาลงหนุน อาทิ โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ หนี้สูง High Yield

(*/+) TH Tourism: อิงจำนวนผู้ใช้บริการสนามบินเดินทาง ตปท. 1-14 ก.ย. เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวรายสัปดาห์ 8-14 ก.ย. จำนวนผู้ใช้บริการขยับสู่ 85.6% ของ Pre-COVID vs 1-7 ก.ย. ที่ 85.2% มีโอกาสจุดเริ่มต้นฟื้นตัวก่อนเข้าฤดูกาลปลายปีช่วงไตรมาสที่ 4 มองหุ้นท่องเที่ยว+การบินที่ Underperform มีโอกาสเริ่มฟื้นตัว เน้น AOT, ERW

(*) Mass Transit: รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดการจัดตั้ง Infrastructure Fund กองใหม่ โดยเบื้องต้นตั้งเป้าวงเงินไม่เกิน 3 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนแนวคิดของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายรถไฟฟ้าทุกสาย 20 บาทตลอดสาย เรามองกลาง-บวกอ่อนๆ โดยการเดินหน้าแนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นได้ค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อกลุ่มรถไฟฟ้ายังต้องติดตาม Overhang ในส่วนการเจรจาค่าชดเชย โดยเฉพาะฝั่ง BEM ที่มีสัญญาระยะยาวกว่า BTS ส่วน BTS มีโอกาสหาข้อสรุปได้ง่ายกว่า ขณะที่จะเป็นบวกที่สามารถหยุดรับรู้ผลขาดทุนสายสีเหลืองและชมพูในปัจจุบัน ผสาน หุ้น BTS ที่ Underperform ไปมากแล้ว เชิงกลยุทธ์ เราแนะนำเน้น BTS

(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม

1.) ติดตามกระแสตอบรับกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไประหว่าง 16-20 ก.ย.

2.) 19 ก.ย. วันสุดท้ายยื่นใบสมัคร Virtual Bank กับ BOT คาดว่าจะมีภาพผู้สนใจคึกคักไมต่ำกว่าโควตาที่เปิด 3 ราย มองบวกต่อกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8, BBIK และหุ้นในธีม Infra Tech

3.) FTSE Rebalance มีผลช่วงปิดตลาด 20 ก.ย. จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้

o FTSE All World (Large + Mid Cap)

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : BLA

***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้

• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR

• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Mid Cap : BLA

***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก

o FTSE Small Cap :

หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT

หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL

o FTSE Micro Cap :

หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE

หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S

กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT, FTREIT, FUTURPF, SYMC, WHART

 

Daily Strategy : AOT, CPALL, STEC เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" ต่างประเทศยังไม่มีประเด็นลบเพิ่มเติม และเป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่ม Value สลับมานำตลาด ยังมองบวกต่อตลาดหุ้นฝั่งอาเซียน+ไทย ขณะที่ภายใน วันนี้หุ้น Domestic เด่นเคลื่อนไหวตามความคาดหวังการพิจารณามาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ครม. ใหม่ 1.) ความชัดเจน Digital Wallet ทั้งโครงการ ซึ่งมีแนวโน้มใช้งบน้อยกว่ากรอบที่กำหนด หลังผู้ลงทะเบียนฝั่งกลุ่มที่มีสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 36 ล้านคน และทั้งโครงการคาดไม่เกิน 40 +/- ล้านคน 2.) การพิจารณา Mega Projects จำนวน 3 โครงการมูลค่า 1.0 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ลุ้นมาตรการท่องเที่ยวเป็นแรงเสริมการฟื้นตัวจุดหย่อนครั้งสุดท้ายก่อนเข้า Hi-season เร่งขึ้น โดยหุ้นนำวันนี้ เรามอง 1.) กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก รับเหมา ธนาคาร) 2.) กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ) และ 3.) กลุ่มท่องเที่ยว (มีสัญญาณเริ่มฟื้นก่อนเข้าฤดูกาลไตรมาส 4)

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)

• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Vayupak Plays

การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่

1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24

2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก

3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป

4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น

5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท

เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท

ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)

กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด

จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้

o FTSE All World (Large + Mid Cap)

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : BLA

***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้

• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR

• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Mid Cap : BLA

***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก

o FTSE Small Cap :

หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT

หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL

o FTSE Micro Cap :

หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE

หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S

กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)

 

 

• LHSC (Unrated): LHSC is investing in Terminal 21 shopping mall in prime area of Bangkok. Its operations has recovery exceeding pre-Covid level (occupancy rate 98%, renewal rate 87%, SSS growth 5-7% and average rent already reachs 2019 level) – annulized DPU would reach Bt1.05, a growth of 11% yoy. It plans to invest in T21 Pattaya and we look for DPU accretive plus an upside to financial advisor. This will further risk diversification (assets in Bangkok and Pattaya), expand market cap and improve trading liquidity. At last close, LHSC offers 4.3% real yield and trading at 19% discount to NAV.

• Technology (Neutral): Both BBIK and BE8 share price has finally recovered over 50% from this year low. We believe the market sentiment has shifted away from concerns over weakening customer demand. Although both companies' share price is trading close to our TP, there is still upside (around 10-15%) as a justify P/E of this sector should be around 20-30x vs current P/E of 21-23x. Maintain NEUTRAL for sector. Investor can let profit run.

• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) -4-5% w-w กังวล demand น้ำมัน หลัง U.S. EIA (U.S. EIA ปรับตัวเลขปีฐานขึ้นทำให้การเติบโตน้อยลง), IEA และ OPEC ทยอยปรับลดคาดการณ์ oil demand growth คงมุมมองราคาน้ำมันดิบ ก.ย. 24 ผันผวน กังวลเศรษฐกิจโลก ผสมกับ ผลกระทบมรสุมใน U.S. และการปรับแผนผลิตของ OPEC+

ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ +53% w-w ขึ้นจาก HSFO spread +27% w-w กลบ gasoline spread -6% w-w demand ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ชะลอ Gasoil -9% และ Jet -10% w-w ตาม demand ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมรสุม คงมุมมองเดือน ก.ย. ค่าการกลั่นผันผวนจากกังวลโควต้าน้ำมันจีน ผสมกับ การกลับมา cut run ของโรงกลั่นบางส่วน

ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ฟื้น w-w ยังได้ราคา feedstock ที่ลดลง หนุน i) สายโอเลฟินส์ PE/PP spread +4-6% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ -10-13% w-w สวนทางราคา feedstock ที่ลดลง จาก demand downstream ลดลง ในขณะที่ supply เพิ่มขึ้น ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread +3% w-w คงมุมมอง ก.ย. 24 สายโอเลฟินส์ฟื้นจากการ re-stock ในจีน และราคา feedstock ลดลง ส่วน PET ทรงตัว m-m

ภาพสัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบยังลดลง หนุน ให้ product spread ของกลุ่มปิโตรเคมีส่วนใหญ่ฟื้น w-w ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวไม่ได้มาจากขา demand และ ระดับ spread 3QTD ยังต่ำกว่า 2Q24 ในขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มปรับขึ้นมาเร็ว +16-29% m-m ระยะถัดไปหาก OPEC+ ปรับแผนฯ การผลิต (ประชุม 2 ต.ค.) อาจส่งให้ราคาน้ำมันดิบและ product spread ผันผวนได้

• SCC (Trading Buy, TP290): เรามอง Negative ต่อข้อมูลในที่ประชุมนักวิเคราะห์ของ SCC ในประเด็นของธุรกิจปิโตรเคมีที่มีโอกาสเกิด downside หากโครงการ LSP ดำเนินการผลิตต่ำกว่าคาด (อาจสร้าง downside ต่อกำไรปกติ 2025F ราว -9-18% หรือราว 2-4 พันลบ.) และต้องแบกรับต้นทุนคงที่มากกว่าคาด ซึ่งการลงทุนจัดหา Ethane ที่ต้นทุนต่ำกว่า propane และ naphtha ต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปี และมีความไม่แน่นอนของ product mixed อาจส่งให้มีความเสี่ยงด้อยค่าฯ แนะนำรอผ่านแรงกดดันระยะสั้นไปก่อน ค่อยกลับมาเก็งกำไรการฟื้นตัวจากฐานต่ำของธุรกิจปิโตรเคมีใน 2025F จาก oversupply ที่ลดลง รวมถึงปริมาณขาย LSP เข้ามาหนุน คาดกำไรปกติ 2025-26F ฟื้นเฉลี่ย 69% CAGR คงคำแนะนำ Trading Buy ที่ TP25F = 290 บาท/หุ้น

 


3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ประคับประคอง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย คงประคับ ประคอง แกว่งตัวไปมา ท่ามกลาง บริษัทจดทะเบียนไทย...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้