AT THE OPEN (#ATO)
SET Index ขยับกรอบขึ้น
กลยุทธ์เลือกหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐฯ
Market Strategy
SET Index มี Momentum ไปต่อตามกรอบ 1430-1450 จุด แรงหนุนวันนี้คาดมาจากการประชุม ครม. ที่คาดว่าจะเห็นการเร่งออกมาตรการกระตุ้นภาคบริโภค การลงทุนภาครัฐฯ และเยียวยาต่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่แรงหนุน Fund Flow ต่างชาติที่ยังมีทิศทางบวกจากกระแสเงินที่เคลื่อนย้ายมาหุ้นกลุ่มในกลุ่ม Value มากกว่าหุ้น Growth หุ้นเด่นวันนี้เลือก HMPRO และ CK
การประชุม ครม. นัดแรกของรัฐบาลใหม่วันนี้ คาดพิจารณามาตรการขับเคลื่อน/ฟื้นฟูเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน เช่น 1.มาตรการกระตุ้น Digital Wallet เฟส 1 ที่แจกเป็นเงินสดต่อกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการ 14.5 ล้านคน 2.เม็ดเงินเยียวยาต่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมวงเงิน 3 พันล้านบาท 3. กระทรวงคมนาคมเสนอ 3 โครงการลงทุนวงเงิน 1 แสนล้านบาท (โครงการมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทล์ลเวย์,โครงการมอเตอร์เวย์บางขุนเทียน-บางบัวทอง และโครงการรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยายช่วงรังสิต-มธ) เราคาดว่าจะเป็นบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL BJC) กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC SAK) กลุ่มซ่อมแซมบ้าน (HMPRO GLOBAL) และกลุ่มรับเหมาฯ (CK STEC)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้แกว่งบวกลบผสมผสานก่อนการประชุม FED ที่จะรู้ผลในเช้าวันพฤหัสฯ แต่ข้อดีคือเห็นการ Rotation เม็ดเงินไปหุ้นกลุ่ม Value Stock สะท้อนจาก Dow Jones ที่ปรับขึ้น 0.6% สวนทาง Nasdaq ที่ปรับลง -0.5% การเคลื่อนไหวข้างต้นเรามองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยที่สัดส่วนน้ำหนักหุ้นกลุ่ม Value เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มค้าปลีกที่มีสัดส้วนรวมกันคิดเป็น 40%ของ Market Cap ของตลาด
ด้าน Fund Flow นักลงทุนต่างชาติวานนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8 ติดต่อกันอีก 350 ล้านบาทและเปิด Long สุทธิใน SET50 Index Futures 5.1 พันสัญญา ส่วนเงินบาทเช้านี้ทรงตัว 33.22 บาท/usd โดยรวมยังมีทิศทางเป็นบวกที่จะไหลเข้าต่อตลาดหุ้นบ้านเราต่อไป
Market Summary
SET Index ปรับขึ้น 0.8% เป็นการขึ้นกระจายหลายอุตสาหกรรม โดยกลุ่มที่บวกเด่น STGT +21% STA +7.6% จากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าถุงมือยางเพื่อการแพทย์จากจีน 50% และ 100% ในปี 68/69 จากเดิมจะปรับขึ้น 25% ปี 69 กลุ่มได้ประโยชน์จากมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ค้าปลีก CPAXT +3% BJC +2.6% กลุ่มไฟแนนซ์ SAWAD +5.5% MTC +4% SAK +2.8% นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 350 ล้านบาท
ATO Daily Stock Picks
แนะนำ CK HMPRO
HMPRO ปันผลสูง Valuation ไม่แพง
และแนวโน้มกำไรใกล้ฟื้น
กำไรในครึ่งหลังของปี 67 คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีและเทียบ YoY เนื่องจากมีการขยายสาขาหลายแห่ง ได้แก่ Home Pro 3-4 แห่งและ Mega Home 1 แห่ง โดยเน้นรูปแบบไฮบริด (การมี Home Pro และ Mega Home ในสถานที่เดียวกัน)
คาดการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย. เนื่องจากฐานที่ต่ำและผลกระทบจากการก่อสร้างถนนหน้าร้าน Home Pro สาขาราชพฤกษ์ที่น้อยลง และการย้ายสถานที่ตั้งของ Home Pro รัตนาธิเบศร์ หนุน SSSG จะกลับมาเป็นบวกใน 4Q67 นอกจากนี้ยังได้ประโยชนจากการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วมหลายจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
คาดกำไรทำสถิติใหม่ในปี 67 แต่ราคาหุ้นลดลง 8%YTD โดยหุ้นซื้อขายที่ PER67 21 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่เกินกว่า -1.6 SD และอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 4% จึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ได้เช่นกัน
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 13.20 บาท
CK ราคาฟื้นช้าเกินไป
เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน
คาดกำไรปี 2567/68/69E จะเติบโตโดดเด่น 30% / 15% / 24% YoY ตามลำดับ โดยเฉพาะปี 2569 กำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ 2,711 ล้านบาท แนวโน้มคาดจะได้งานเพิ่มจากโครงการของบริษัทลูกเพิ่ม ทำให้ Backlog เข้าสู่ New S-Curve ช่วยเพิ่ม อัพไซด์ต่อประมาณการ
กำไร 3Q67 คาดขึ้นทำจุดสูงสุดของปี หนุนจากส่วนแบ่งกำไรของบริษัทลูกอย่าง CKP และ BEM นอกจากนี้ยังมี Sentiment บวกจากการเร่งผลักดันการเร่งประมูลโครงการภาครัฐฯ โดยวันนี้ รมว.คมนาคม เผยว่าเตรียมเสนอครม.พิจารณา 3 โครงการ Mega Project วงเงิน 9.37 หมื่นล้านบาท
ราคาหุ้นช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา -13% จากความกังวลต่อประเด็นการเมืองซึ่งปัจจุบันคลี่คลายแล้ว จนซื้อขายบน PER 17.7 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี -1.4S.D. มองระดับราคาตรงนี้เป็นจุดสะสมที่ดี
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 27.50 บาท
KEY FACTOR
ทิศทางตลาดการเงินโลกยังสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกก่อนการประชุม FOMC 1) แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะแกว่งแคบๆช่วง -0.52% ถึง +0.55% แต่ภาพรวมยังเป็นโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง 2) ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ทำจุดต่ำสุดใหม่ตั้งแต่ มิ.ย. 2566 แตะระดับ 3.62% 3) Dollar index แกว่งตัวใกล้เคียงจุดต่ำสุดของปีที่ระดับ 100.7 ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังหนุนเงินบาทอยู่ในรอบการแข็งค่าบริเวณ 33.2 – 33.3 บาทต่อดอลลาร์
ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดัชนีการผลิตรัฐนิวยอร์ก (Empire Manufacturing) อยู่ที่ระดับ 11.5 ในเดือน ส.ค. ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ -4.0 อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนภาพเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ในวันนี้จะมีการรายงาน 1) ยอดค้าปลีก เดือน ส.ค. (Consensus คาดว่าจะหดตัว -0.2% MoM) 2) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ส.ค. (Consensus คาดว่าจะ +0.2% MoM) ซึ่งหากตัวเลขออกมาดี น่าจะทำให้ตลาดตอบรับเชิงบวก ผ่อนคลายความกังวลลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
EYES ON
17 ก.ย. ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
18 ก.ย. เงินเฟ้อ Eurozone (รอบสุดท้าย)
19 ก.ย. ผลการประชุม FOMC
20 ก.ย. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค Eurozone, จีนกำหนดดอกเบี้ย LPR อายุ 1 และ 5 ปี
นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ