Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

117

 

 

ดีก็ไม่ใช่ แต่ จะร้ายก็ไม่เชิง
ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้งหลังอิสราเอลเริ่มปฎิบัติการบุก ราฟาห์ แม้จะถูกคัดค้านจากกลุ่มประเทศพันธมิตร ในเชิงของผลกระทบทางเศรษฐกิจต้องจับตาที่ราคาน้ำมันซึ่งอาจปรับตัวสูงขึ้นอีกรอบหนึ่ง เป็นแรงกระตุ้นเงินเฟ้อให้กลับขึ้นมา แต่ในมุมของกลยุทธ์การลงทุน PTTEP ก็อาจได้รับแรงหนุน ส่วนในบ้านเรากกร. มีการปรับลดคาดการณ์GDP ปี 2567 ลงมาอยู่ในกรอบ 2.2 –2.7% (ค่ากลาง 2.45%)จากความกังวลเรื่องภาคการส่งออก อย่างไรก็ตามเรามองว่า การปรับลดคาดการณ์ GDP ดังกล่าว ยังไม่ทำให้ภาพการ BOTTOM OUT ของเศรษกิจเปลี่ยนไป อีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในความสนใจคือ LTF ซึ่งประเมินจากท่าทีของกระทรวงการคลังแล้ว มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเห็นการกลับมาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ต้องใช้คำว่า จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก้ไม่เชิงซึ่งน่าจะทำให้SET INDEX ยังต้องผันผวนในกรอบ 1369 –1385 จุด ต่อไปอีกระยะหนึ่ง หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, CPN และ GULF


ปัจจัยภายนอก มีอะไรที่ต้องติดตามบ้าง ... มาดูกัน
วานนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT/WTI ปรับตัวขึ้น 0.5% และ 0.2% จนอยู่ระดับ $83.6และ $79.1 ตามลำดับ หลังจากที่อิสราเอลประกาศยึดจุดผ่านแดนราฟาห์ (เป็นช่องทางเดียวที่เชื่อมระหว่างอียิปต์กับฉนวนกาซา และหลายประเทศคัดค้านการยึดจุดผ่านแดนนี้) ซึ่งอิสราเอลจะใช้ปฏิบัติการที่จุดผ่านแดนนี้ จนกว่าฮามาสจะถูกกำจัดและมีการปล่อยตัวประกันอิสราเอล ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถือเป็นปัจจัยผลักให้ราคาน้ำดีดตัว จากฝั่ง SUPPLY ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบด้านการผลิต และอาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยล่าสุดเดือน พ.ค. 78.7 เหรียญฯ (+9.9%YOY)อย่างไรก็ตาม SET INDEX ไม่น่าจะผันผวนมากเท่าตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องด้วยมีสัดส่วนหุ้นกลุ่มน้ำมันสูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักตลาดฯ โดยหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ PTTEPPTT PTTGC TOP SPRC BCP เป็นต้น
ขณะที่ประเด็นอื่นที่น่าติดตาม คือ เช้านี้จะมีประกาศตัวเลขนำเข้า-ส่งออกจีนประจำเดือน เม.ย.67 ซึ่งตลาดคาดว่าจะฟื้นตัวเด่น โดยยอดส่งออก +1.3%YOY(เดือนก่อนหน้า -7.5%YOY) และยอดนำเข้า +4.7%YOY(เดือนก่อนหน้า -1.9%YOY) ดังรูปด้านล่าง ซึ่งผลลัพธ์หากออกมาเช่นนี้จริง จะเป็นหนึ่งในปัจจัยยืนยันว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวตามที่ภาครัฐฯคาดหวังไว้ ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ในยามเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว คือ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม AOT ,ERW ,CENTEL ,MINTกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีTOP, PTTGC กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC SCGP เป็นต้น

สรุป พัฒนาการความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ดูมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผลักดันให้ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง และยังมีโอกาสที่จะกดดัน SET ให้ผันผวนช่วงในสั้นๆได้ อย่างไรก็ตาม SET INDEX ไม่น่าจะผันผวนมากนัก เนื่องด้วยมีสัดส่วนหุ้นกลุ่มน้ำมันสูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักตลาดฯ ส่วนเช้านี้ติดตามตัวเลขการส่งออก/นำเข้าจีนประจำเดือน เม.ย.67 ที่คาดฟื้นตัวขึ้นจากเดือนก่อน


เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเติบโตต่ำ แต่ระยะถัดไปจะสดใสขึ้น
วานนี้ กกร. มีการปรับคาดการณ์ GDP GRWOTH ของไทยในปี 2567 ลดลงเหลือเฉลี่ย 2.45% หรืออยู่ในกรอบ 2.2-2.7%  (เดิมคาด 2.8-3.3%) ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับสำนักเศรษฐกิจต่างๆ หลังมองว่าภาคการส่งออกไทยปีนี้มีแนวโน้มได้เติบโตได้น้อยลงราว 0.5-1.5%  (เดิมคาด 2.0-3.0%) ตามทิศทางการค้าโลกที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ กดดันมูลค่าการส่งออกสินค้าไทนใน 1Q67 หดตัวลง -0.2%YOY ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรก

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจบ้านเรายังเห็นสัญญาณขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปีก่อน (GDP ไทย ปี 2566 +1.9%YOY) ทำให้ความคาดหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้น BOTTOM OUT ไปแลัว มีมุมมองที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ภาวะดังกล่าวยังได้สะท้อนถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นอย่างมาก โดยภาครัฐมีแผนอัดนโยบายต่างๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาทิ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี2567 (G), โครงการ DIGITAL WALLET แจกเงิน 10,000 บาท (C), การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (I) เป็นต้น ขณะที่ระยะถัดไปเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนนโยบายการเงิน-การคลังดำเนินไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น เพื่อมุ่งเป้าให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้แบบไม่สะดุด

สรุป เศรษฐกิจไทยเสี่ยงขยายตัวต่ำ แต่ความคาดหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้น BOTTOM OUT ไปแลัว ยังมีมุมมองที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ระยะข้างหน้าเชื่อว่านโยบายการเงิน-การคลังจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น เพื่อมุ่งเป้าให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้แบบไม่สะดุด หนุนให้หุ้นกลุ่ม DOMESTIC PLAY ค่อนข้างน่าสนใจ

หาหุ้นมีโอกาสรับเม็ดเงินเพิ่ม หากกองทุน LTF ฟื้นกลับมาหากมีการฟื้น LTF กลับมา จะช่วยแก้ปัญญาตลาดหุ้นไทยที่เผชิญในปัจจุบันได้หลายมิติ ดังนี้
▪ ลดแรงขายจากทางสถาบันฯ
▪ หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า
▪ ช่วยพยุงราคาลดผลกระทบจากการ SHORT SELL
▪ เพิ่มสภาพคล่องในระบบ
▪ หวังเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น
(ทุกหัวข้อสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทวิเคราะห์ MARKET TALK ประจำวันที่ 08/05/67)
ในอดีตเม็ดเงินจาก LTF มักจะไหลเข้าตลาดหุ้นราว 6 –7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะหนุนให้ SET INDEX ขึ้นได้ราว 1.2% ดังนั้นคาดหวังว่าหากมีเม็ดเงิน LTFใหม่เข้ามา อาจช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ถึง 100 จุด หรือวิ่งเข้าหาดัชนีเป้าหมายปลายปีที่ 1580 จุด


นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ หาข้อมูลว่ากองทุน LTF ขนาดใหญ่ถือหุ้นอะไรบ้าง จากข้อมูลสัดส่วนการถือหุ้น 5 อันดับแรกในกองทุน LTF ที่ใหญ่ที่สุด 10 กองทุน ซึ่งกินสัดส่วนNAV ไปกว่า 65% ของ LTF ทั้งหมด 106 กองทุน ได้ผลลัพธ์หุ้นที่กองทุน LTF ถือเยอะสุด คือ ถือหุ้น CPALL มากสุดราว 8.2 พันล้านบาทรองลงมาคือ AOT ตามมาด้วย GULF, PTTEP, BBL, SCB, ADVANC, CPN,PLANB, PTT, CRC, BDMS, SCC ซึ่งถ้า LTF กลับมาได้สิทธิลดหย่อนภาษี หุ้นดังกล่าวก็มีโอกาสถูกเม็ดเงินใหม่ผลักดันให้มีโอกาสปรับขึ้นได้

กำไร 1Q67 แต่ละอุตสาหกรรม เป็นอย่างไรบ้าง (PART2)
กลุ่ม ค้าปลีก : คาดในงวด 1Q67 หุ้นในกลุ่มพาณิชย์ ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ BJC,CRC, COM7, CPALL, CPAXT, HMPRO และ DOHOME จะมีกำไรปกติลดลงQOQ แต่ยังโตได้ YOY ทั้งนี้กำไรปกติที่ลดลง QOQ เกิดจากผลของฤดูกาล เพราะโดยปกติแล้วในไตรมาส 4 ของทุกปี เป็น HIGH SEASON ของธุรกิจ โดยเราประเมินว่าหุ้นเกือบทุกบริษัทที่เราศึกษาจะมีกำไรที่ชะลอลง ยกเว้น ADVICE, DOHOME ที่จะมีกำไรเติบโตได้ QOQ โดย ADVICE ได้แรงหนุนจาก EASY E-RECEIPT และการเปิดตัวของ SAMSUNG รุ่นใหม่ ส่วน DOHOME มีแรงหนุนจากทั้งยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และหากเทียบ YOY กำไรโดยรวมของกลุ่มในงวด 1Q67 จะยังโตได้ โดยเราเชื่อว่า CPALL น่าจะมีกำไร YOY ที่โตโดดเด่นสุด เพราะได้ประโยชน์จากทั้ง EASY ERECEIPT และยอนักท่องเที่ยวที่มีมากขึ้น ส่งเสริมยอดขายในสาขาที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว รองลงไปคือ CPAXT ที่คาดจะมี SSSG โตขึ้นทั้ง MAKRO และ LOTUS’Sขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ YOY เราเลือก CPALL เป็นหุ้น TOPPICKS ของกลุ่ม


กลุ่ม ICT : คาดงวด 1Q67 หุ้นในกลุ่ม ICT ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ 3BBIF, ADVANC,TRUE, INTUCH, และ JMART ซึ่งมีมูลค่าตลาด (MARKET CAP.) รวมกันราว 80%ของมูลค่าตลาดรวมของหุ้นในกลุ่ม ICT ทั้งหมด จะมีกำไรปกติที่โตขึ้นทั้ง QOQ และYOY โดยกำไรปกติที่โตได้ดี เป็นเพราะคาดว่าผลประกอบการของกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ (ADVANC และ TRUE) ซึ่งเป็นตัวหลักผลักดันกำไรของกลุ่ม จะมีกำไรที่โตเด่นทั้ง QOQ และ YOY เนื่องจากรายได้ค่าบริการเพิ่มขึ้น ตาม ARPU ที่สูงขึ้น

ขณะที่ควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นเรายังคงเลือก ADVANC เป็นหุ้น TOPPICK เนื่องจากเป็นหุ้นที่ยังมีกำไรแข็งแกร่ง และให้ปันผลในอัตราจูงใจ


กลุ่ม เครื่องดื่ม : คาดในงวด 1Q67 หุ้นในกลุ่มเครื่องดื่มที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือSNNP,ICHI และCBG จะมีกำไรปกติที่ลดลง QOQ แต่ยังเติบโตได้ YOY โดยกำไรรวมที่ลดลง QOQ เกิดจากผลของฤดูกาลเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่เป็นช่วง HIGHSEASON ของธุรกิจ แต่หากเทียบYOY กำไรรวมของกลุ่มในงวด 1Q67 จะยังโตได้ดีโดยเราเชื่อว่า CBG น่าจะมีกำไรที่เติบโตโดดเด่นสุด เนื่องจากยอดขายโดยรวมเติบโตทั้งจากในประเทศที่มีการจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขาย และจากต่างประเทศที่เศรษฐกิจของกลุ่มCLMVเริ่มฟื้นตัว และรับรู้รายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายเบียร์เต็มไตรมาส(เริ่มวางจำหน่ายเบียร์ พฤศจิกายน 2566) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงจากการแบ่งสิทธิผู้สนับสนุนฟุตบอล EFL ให้กับบริษัทคู่ค้า(ผู้ผลิตเบียร์)ในช่วง4Q66เราเลือก CBG เป็นหุ้น TOP PICKS ของกลุ่มกลุ่ม เกษตรและอาหาร (CPF, ITC, TU) : ภาพรวมรายบริษัทมีทิศทางคล้ายคลึงกันแนวโน้ม 1Q67 เป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไป โดย CPF(ประกาศงบ 13 พ.ค. 2567) คาด 1Q67 ขาดทุนปกติ 3.15 พันล้านบาท ลดลงจาก7.33 พันล้านบาทงวดก่อน และ 3.4 พันล้านบาทงวดปีก่อน หนุนจากธุรกิจไก่ไทยฟื้นตัวจากส่งออก และสุกรเวียดนามมีอุปทานลดลง ดันราคาขายเพิ่ม ช่วยลดผลกระทบบางส่วนจากสุกรไทยและจีนที่ยังเผชิญกับปัญหาอุปทานล้น กดดันราคาขายต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยง ขณะที่ ITC และ TU ประกาศงบแล้วเมื่อ 2 และ 8 พ.ค. ตามลำดับ โดยITC รายงานกำไรปกติ 878 ล้านบาท ดีกว่าฝ่ายวิจัยและตลาดคาดพอสมควรสามารถเติบโต 112% YOY และ 8% QOQ เกิดจากมาร์จิ้นทำได้สูง จากราคาขาย
สูงขึ้นผลจากการเพิ่มสัดส่วนขายสินค้าพรีเมียมที่มีมาร์จิ้นสูงและกลยุทธ์ปรับราคาขาย ขณะที่ TU รายงานกำไรปกติตามคาด 932 ล้านบาท เติบโต 17% YOY (แต่ลดลง 28% QOQ จากปัจจัยฤดูกาล) จากประสิทธิภาพทำกำไรธุรกิจหลักฟื้นตัวชดเชยกับผลกระทบจากเลิกกิจการ RL และขายเงินลงทุนบริษัทร่วมทำให้ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมลดลง รวมถึงภาษีและดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ในเชิง QOQ กำไรปกติลดลง 28% จาก 4Q66 เหตุจากปัจจัยฤดูกาล

 

กลุ่ม ท่องเที่ยว: แนวโน้มกำไรกลุ่มฯ งวด 1Q67เท่ากับ 6.6 พันล้านบาท ลดลง 13%QOQ (+224% YOY) หลักๆ มาจากโรงแรมของ MINT ใน EU เข้าสู่ LOW SEASONในขณะที่กำไรของหุ้นที่อิงกับการท่องเที่ยวไทยขยายตัวโดดเด่น จากช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไทย นำโดย AOT (+27% QOQ, +207% YOY) และ ERW (+6% QOQ,+11% YOY) เด่นสุดในงวดนี้ เพราะคาดกำไรเพิ่มทั้ง QOQ และในเชิง YOY สูงเป็นอันดับ 1และ 2ของกลุ่มฯ ตามลำดับ ในทางตรงข้าม CENTEL การขยายตัวของกำไรปกติ YOY แผ่วเบา เพราะถูกบั่นทอนงวดจากค่าใช้จ่าย หลังงวด 1Q66 ยังไม่มีแรงกดดันของโรงแรมในญี่ปุ่นที่เริ่มเปิดช่วง 2H66 ซึ่งยังคงมีผลขาดทุน, สัญญาเช่าใหม่ของโรงแรมที่หัวหินตั้งแต่ 2Q66 และดอกเบี้ยจ่าย ตามวัฎจักรดอกเบี้ย (เพิ่มเติมINDUSTRY UPDATE กลุ่มท่องเที่ยว 7 พ.ค. 67) เลือก AOT(FV@B74) จากการเป็นหุ้นแกนหลักของการท่องเที่ยวไทย ส่วนกลุ่มโรงแรมเชิงกลยุทธ์มองไปที่ ERW(FV@B5.5) เพราะราคาหุ้น LAGGARD กลุ่มฯ และ HOP INN ญี่ปุ่นหลังเริ่มเปิดครบ4 แห่งงวด 1Q67 มี OCCUPANCY RATE ราว 50% ถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับสมมติฐานฝ่ายวิจัยทั้งปีที่คาดไว้ 55%


กลุ่ม พลังงานและปิโตรเคมี: ภาพรวมกำไรสุทธิของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีงวด1Q67 โดยรวมเห็นการฟื้นตัวจากงวด 4Q66 จากทิศทางราคาน้ำมัน ค่าการกลั่นและ SPREAD ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวด 4Q66 โดยมีการประกาศผลการดำเนินงานของ PTTEP ที่รายงานกำไรสุทธิ 1Q67 เท่ากับ 1.87 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.2%QOQ เป็นผลมาจากรายการพิเศษสุทธิเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่ลดลงจากงวดก่อนหน้ามีนัยฯ แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติพบว่าลดลง9.7%QOQ มาอยู่ที่ 1.94 หมื่นล้านบาท ถูกกดดันจากทั้งปริมาณขายเป็นหลักเช่นเดียวกับ IRPC ที่ผลการดำเนินงานงวด 1Q67 พลิกกลับเป็นกำไรสุทธิ 1.5พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่เผชิญกับผลขาดทุนสุทธิ 3.4 พันล้านบาท รับผลบวกหลักจากทั้งผลการดำเนินงานปกติที่เผชิญกับผลขาดทุนลดลงมีนัยฯ เหลือ55 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าขาดทุนปกติสูงถึง 2.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการMARKET GIM ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.45 จาก 4.31 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดีขึ้นจากทั้งปิโตรเลียม ปิโตรเคมี และสาธารณูปโภค รวมถึงรายการพิเศษที่สุทธิแล้วพลิกกลับเป็นรายได้พิเศษหลักๆมาจากกำไรสต๊อกน้ำมัน ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทอื่นๆในกลุ่มฯที่ยังไม่ประกาศผลอยู่ในทิศทางเดียวกัน อาทิ TOP ที่คาดการณ์กำไรสุทธิงวด 1Q67 อยู่ราว 5.15 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.9%QOQ รับผลบวกหลักจากทั้งแนวโน้มกำไรปกติที่คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัยฯ และรายการพิเศษที่สุทธิเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษรวมลดลง โดยกำไรปกติคาดจะเพิ่มขึ้น 50.6%QOQ มาอยู่ราว 5.9พันล้านบาท ตามค่าการกลั่น (MARKET GRM) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 9.3 จาก 7.2เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า ขณะที่ PTTGC ถึงแม้คาดผลการดำเนินงานสุทธิ 1Q67 จะพลิกกลับมาเผชิญผลขาดทุนอีกครั้งราว 755 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าเป็นกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท กดดันหลักจากรายการพิเศษที่สุทธิเป็นค่าใช้จ่ายสุทธิที่ราว 1.2 พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้าเป็นรายได้พิเศษรวมสูงถึง7.2 พันล้านบาท แต่ผลการดำเนินงานปกติ 1Q67 คาดจะพลิกกลับเป็นกำไรปกติได้มาอยู่ราว 405 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่เผชิญกับผลขาดทุน 2.1 พันล้านบาทรับผลบวกหลักจากธุรกิจปิโตรเคมีทั้งโอเลฟินส์ โพลีเมอร์ และอะโรเมติกส์ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้น ส่วน IVL นั้น ทิศทางผลการดำเนินงานปกติงวด 1Q67 คาดจะเห็นการฟื้นตัว QOQ ซึ่งอาจจะเผชิญกับผลขาดทุนที่ลดลง หรือ BREAKEVEN หรือ เป็นกำไรได้บางๆ จากความหวังทิศทาง SPREAD ผลิตภัณฑ์ในทุกกลุ่มของ IVL ที่เห็นการฟื้นตัวจากงวด 4Q66 เนื่องจากมีผู้ประกอบการที่ไม่คุ้มค่าการผลิตทยอยลดกำลังการผลิต หรือหยุดผลิตเป็นการชั่วคราวทั้งในจีน ยุโรป และอเมริกา จึงทำให้SUPPLY บางส่วนหายไปจากตลาด หนุนให้ SPREAD เห็นการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดเป็นต้น
สำหรับในส่วนของธุรกิจถ่านหิน แนวโน้มผลการดำเนินงานปกติของ BANPU งวด1Q67 ต้องลุ้นว่าจะยังสามารถเป็นกำไรปกติที่บางๆใกล้เคียงกับในงวด 4Q66เนื่องจากธุรกิจหลักถ่านหิน และธุรกิจก๊าซธรรมชาติ กำลังผ่านพ้นช่วงฤดูกาลซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวในหลายทวีปทั่วโลกในช่วงไตรมาส 1 ส่งผลให้ราคาขายถ่านหิน และราคาก๊าซธรรมชาติ จากนี้ไปมีแนวโน้มอ่อนตัวลง (ราคาถ่านหินอ้างอิง BJI ปัจจุบันอยู่ที่ 122.8 เหรียญฯต่อตัน และราคาก๊าซธรรมชาติ HENRY HUB ปัจจุบันอยู่ที่ 1.5เหรียญฯต่อพันลูกบาศก์ฟุต (MCF)) อีกทั้งในช่วง 1Q67 จะเป็นการเข้าสู่ช่วงฤดูฝนของอินโดนีเซีย ประเทศผลิตถ่านหินหลักของ BANPU จะส่งผลให้ปริมาณขายปรับตัวลดลง QOQ แต่ทั้งนี้คาดจะได้รับผลบวกจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่คาดจะเห็นการฟื้นตัวจากโรงไฟฟ้าทั้งในสหรัฐฯและจีน รวมถึงต้นทุนขายที่คาดจะปรับตัวลดลงมาช่วยได้บ้าง ตามแผนการลดต้นทุนของบริษัท และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่จะไม่สูงเท่ากับไตรมาส 4 ของทุกปี ที่จะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษปิดงบปลายปี


กลุ่ม โรงไฟฟ้า : กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่: ทิศทางกำไรปกติของกลุ่มฯ เห็นการฟื้นตัวขึ้นได้ดี QOQ จากฐานกำไรที่ต่ำในงวด 4Q66 โดยในเบื้องต้นฝ่ายวิจัย คาดกำไรปกติของ GPSC จะฟื้นตัวมีนัย 103.1%QOQ มาอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท, BGRIMคาดฟื้นตัว 20.7%QOQ มาอยู่ที่ 461 ล้านบาท, และ BPP คาดฟื้นตัวมาอยู่ที่ 363.7ล้านบาท จากเพียง 23.4 ล้านบาทในงวดก่อนหน้า ปัจจัยหนุนหลักมาจาก 1)ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงฤดูกาล ทั้งการอยู่ในช่วงฤดูหนาวในประเทศจีน และสหรัฐฯในช่วงต้นปี และการผ่านพ้นช่วง LOW SEASON ของการเรียกใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยมาแล้วในงวด 4Q66 , 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงตามช่วงฤดูกาล เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพนักงานดังที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี , 3) การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการซ่อมบำรุงที่ลดลง ซึ่งจะช่วยหนุนให้อัตรากำไร (GPM) ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยเฉพาะตัว กดดันผลประกอบการในบางบริษัทให้ปรับตัวลดลงได้อาทิ GULF ซึ่งคาดกำไรปกติงวด 1Q67 จะอ่อนตัวลงเล็กน้อย 1.7%QOQ มาอยู่ราว
4.1 พันล้านบาท จากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่ลดลง เนื่องจากไม่มีการรับรู้รายการพิเศษบางรายการดังที่เคยเกิดขึ้นในงวดก่อนหน้า เป็นต้น


กลุ่ม โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน : ทิศทางกำไรเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล โดยงวด1Q67 บริษัทที่กำไรปกติฟื้นตัวได้ QOQ คือ BCPG ซึ่งมีกำไรปกติเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 343.1ล้านบาท จากเดิมเพียง 38.7 ล้านบาทในงวด 4Q66 หนุนจากกลุ่มโรงไฟฟ้าในUSA ที่ฟื้นตัวในช่วงฤดูหนาวเป็นหลัก รวมถึงบริษัทอื่นๆที่คาดจะมีกำไรฟื้นตัวได้แก่TPIPP ซึ่งคาดกำไรปกติฟื้นตัว 8.8%QOQ มาอยู่ที่ 813 ล้านบาท หนุนหลักจากค่าFT ที่ปรับตัวสูงขึ้น และ SSP ที่คาดได้รับแรงหนุนจากการเริ่มต้นเข้าสู่ช่วง HIGHSEASON ของกลุ่มโรงไฟฟ้า SOLAR ในขณะที่บริษัทที่คาดจะมีกำไรปกติลดลงQOQ ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ อาทิ CKP ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งในงวด 1Q67 ,กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลม อาทิ EA GUNKUL ซึ่งคาดกระแสลมจะเริ่มอ่อนตัวลงตามช่วงฤดูกาล

 

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ลุ้นกันต่อ By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ วันจันทร์ คงต้องมาลุ้นหุ้นกันต่อไป หลังจาก บริษัทจดทะเบียน ประกาศงบไตรมาสแรกปีนี้ออกมา ..

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้