Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซียพลัส : MARKET TALK

128

SET INDEX ดูแกร่งกว่าที่คิด
แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากตัวเลขการส่งออกเดือน มี.ค.67 ที่ลดลง10.9% YOY และการปรับลด GDP GROWTH ปี 2567 ลงมาอยู่ที่2.4% ของ สศค. แต่ SET INDEX ก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อถือเป็นภาวะที่แกร่งกว่าที่คาด ส่วนวันนี้มีผลการประชุม FED ออกมาเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และถูกคาดหมายว่าปี 2567 จะมีการปรับลดเพียง 1 ครั้งในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวลดลงทำให้เชื่อว่าประเนดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นบ้านเรา แม้ว่าผลในอีกทางหนึ่งทำให้เชื่อว่า กนง. บ้านเราจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายระดับ 2.5% ต่อไปอีกนานพอควร สำหรับมุมมองเศรษฐกิจของ ธปท. ประเมินว่าในงวด 1Q67 GDP น่าจะเติบโตราว 1%QOQ ทำให้เราหลุดพ้นจากภาวะ TEHCNICAL RECESSIONประเมินว่า SET INDEX อยู่ในภาวะที่แกร่งกว่าคาด ขณะที่เช้านี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากดดัน คาด SET INDEX อยู่ในกรอบ 1360 – 1377จุด หุ้น TOP PICK เลือก CK, WHA และ TIDLOR


FED คงดอกเบี้ย 5.5% แต่ส่งสัญญาณ DOVISH ผ่านลด QTธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมคืนที่ผ่านมา(ตามคาด) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 23 ปี ตัวชี้วัดล่าสุดชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในอัตราที่มั่นคง การจ้างงานยังคงแข็งแกร่ง และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อได้ผ่อนคลายลงในช่วงปีที่ผ่านมาแต่ยังคงเพิ่มขึ้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา(จากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์) ซึ่งยังห่างจากเป้าหมายเงินเฟ้อของ FED ที่ 2% ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ตลาดคาดว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยนานขึ้นในปีนี้ โดย FED WATCH TOOL ให้โอกาสที่จะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ เขยิบไปอยู่เดือน พ.ย.67 แล้ว(ก่อนหน้านี้อยู่เดือน ก.ย.67)

นอกจากนี้ เฟดประกาศชะลอการใช้มาตรการปรับลดขนาดงบดุล (QUANTITATIVETIGHTENING : QT) ซึ่งถือเป็นการเพิ่มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ FED ทั้งนี้ภายใต้โครงการ QT ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิ.ย.2565 เฟดจะปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) วงเงิน9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ครบอายุในแต่ละเดือนโดยไม่มีการซื้อเพิ่มเติมมาตรการดังกล่าวทำให้งบดุลของ FED ลดลงสู่ระดับ 7.4 ล้านล้านดอลลาร์ จากระดับ 8.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงกลางปี 2565

อย่างไรก็ตาม เริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย.2567 FED จะลดวงเงินพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่จะปล่อยให้ครบอายุในแต่ละเดือนโดยไม่มีการซื้อเพิ่มเติม เหลือเพียง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่คงวงเงิน MBS ที่จะปล่อยให้ครบอายุในแต่ละเดือนโดยไม่มีการซื้อเพิ่มเติม อยู่ที่ระดับ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวของ FED ถือเป็นการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินแบบหนึ่ง และทำให้สินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในระยะถัดไป

สรุป แม้ FED จะคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และเขยิบเดือนที่จะลดดอกเบี้ยไปอยู่ที่พ.ย.67 อย่างไรก็ตามการประกาศว่าจะชะลอการทำ QT ตั้งแต่ มิ.ย.67 ของ FED(ถือเป็นเรื่อง SURPRISE เล็กๆ) อาจเป็นแรงหนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น

เศรษฐกิจไทยยังแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องธปท. ภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมใน 1Q67 ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ประเมิน GDPGRWOTH ขยายตัวราว 1%QOQ ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงการเกิด TECHNICALRECESSION ลดลง (GDP QOQ ติดลบต่อกับ 2 ไตรมาส) โดยแรงขับเคลื่อนมาจากภาคการท่องเที่ยวคึกคักต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาคบริการ และการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องขยายตัว บวกกับการลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้น

ขณะที่ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน มี.ค. เกินดุล 1.08 พันล้าน USD พลิกกลับมาเป็นบวก 2 เดือนติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้นตามรายรับภาคการท่องเที่ยว สะท้อนเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแม้เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะมีความเสี่ยงขยายตัวต่ำ ใน 1Q67 หลังการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจาก พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า แต่ยังถือว่าสอดคล้องกับกรอบที่ธปท. ประเมินไว้ว่าจะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับในระยะถัดไป พร้อมกับคงคาดการณ์ GDP GROWTH ทั้งปี 2567 เติบโต +2.6%YOY โดยมีแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นสำคัญ

สรุป ธปท. ค่อนข้างมีมุมมองบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยใน 1Q67 แม้จะมีความเสี่งเติบโตต่ำ แต่ยังถือว่าสอดคล้องกับกรอบที่ ธปท. ประเมินไว้ว่าจะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับในระยะถัดไป ด้วยแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นสำคัญ


ตามกลไกตลาดหุ้นมักเกิด EARLY BULL (ดัชนีมักฟื้นตัวก่อนเศรษฐกิจจะผ่านพ้นจุดต่ำสุด) เสมอ
แม้ข้อมูลจากทาง BLOOMBERG จะประเมินเศรษฐกิจงวด 1Q67 มีโอกาสเติบโตเพียง 1.4%YOY ต่ำกว่างวด 4Q66 ที่ 1.9%YOY แต่ยังมีโอกาสทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีงวด 2Q67 +2.0%, 3Q67 +2.8%, 4Q67 +3.9% หรือผ่านจุดต่ำสุดในระยะถัดไป
ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการศึกษา พบว่า ตามกลไกตลาดหุ้นมักทยอยฟื้นตัวก่อน (EARLYBULL) ยามเศรษฐกิจที่กำลังผ่านจุดต่ำสุด (BOTTOM OUT) ตามรูปทางด้านล่างสะท้อนได้จากตลอด 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET INDEX มักฟื้นตัวก่อน (EARLYBULL) การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจหรือ GDP ในงวดที่ทำจุดต่ำสุดแสมอ(BOTTOM OUT) ทั้ง 4 รอบ โดย SET ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกรอบเฉลี่ย 13.2%(กรอบสีฟ้า) ก่อนที่จะมีการรายงานตัวเลข GDP รองต่ำสุดจนถึง ต่ำสุดในรอบถัดไปและ SET INDEX ยังฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องทุกรอบ หลังจากรายงานตัวเลข GDP ต่ำสุดแล้ว

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ยังลงรายละเอียดเป็นราย SECTOR พบว่า ช่วง EARLYBULL ตลอด 20 ปี่ที่ผ่านมา กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยโดดเด่นกว่าตลาด คือETRON +30%, PETRO +21%, PKG +20%, BANK +18%, AGRI +17%,ENERG +15%, TRANS +14%, CONMAT +14% สูงกว่า SET INDEX +13%

สรุป คือ หากเศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วง 1Q67 และทยอยฟื้นเด่นเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกที่ส่วนใหญ่ชะลอลง ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ต่างๆ คาดฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่า SET INDEX ก็ยังตอบรับเหมือนเดิม คือ มีโอกาสเกิด EARLYBULL (ดัชนีมักฟื้นตัวก่อนเศรษฐกิจจะผ่านพ้นจุดต่ำสุด) แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานที่มักจะฟื้นได้ดีเด่นตามกลุ่มต่างๆ ในอดีต PETRO (IVL), PKG (SCGP), BANK(KBANK), AGRI (STA), ENERG (PTTEP), TRANS (AOT, BEM), CONMAT(SCCC, SCC) เป็นต้น

แผนการการปิดโรงฟฟ้าถ่านหินของกลุ่ม G7 กระทบต่อหุ้นไทยตัวไหนหรือไม่ ?
รัฐมนตรีพลังงานจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 หรือ G7 ประกอบไปด้วยประเทศแคนนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินภายในปี 2578 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด ประเด็นดังกล่าวถือเป็นSENTIMENT เชิงลบต่อกลุ่มถ่านหินในอนาคต ที่ความต้องการใช้ถ่านหินจะปรับตัวลดลง เนื่องจากเชื้อเพลิงถ่านหินถูกใช้หลักในโรงไฟฟ้า ดังนั้นหากไม่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ๆเกิดขึ้น ความต้องการใช้ถ่านหินในส่วนนี้จะหายไป แต่อย่างไรก็ตามคาดจะไม่กระทบสัญญาการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินในปัจจุบัน เป็นเพียงนโยบายในระยะยาวของกลุ่ม G7 มากกว่าที่จะไม่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้นใหม่ ทั้งนี้ในส่วนของราคาถ่านหินคาดน่าจะยังประคองตัวได้ ถึงแม้ความต้องการใช้ถ่านหินจะลดลง แต่ในขณะเดียวกัน SUPPLY ถ่านหินก็ลดลงเช่นกันเพราะจะไม่มีผู้ผลิตถ่านหินเดินหน้าลงทุนผลิตถ่านหินใหม่เพิ่ม โดยเชื้อเพลิงที่จะมีทดแทนถ่านหิน คาดจะให้น้ำหนักไปที่ก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ดังนั้นมีโอกาสสูงที่ราคา LNG ในภาพระยะยาวมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปัจจุบันจากความต้องการใช้ใหม่ๆที่จะทยอยเพิ่มขึ้น

สำหรับในส่วนของประเทศไทย โรงไฟฟ้าถ่านหินที่บริษัทจดทะเบียนในตลท.ลงทุนอยู่ในปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยุ่ราว 5.7 พันเมกะวัตต์ ซึ่งหลักๆมาจากโรงไฟฟ้า IPPได้แก่ โรงไฟฟ้าหงสา และ BLCP ส่วนโรงไฟฟ้าอื่นๆส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินSPP ขนาดเล็ก ซึ่งทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนราว 15.9% ของกำลังการผลิตรวมเชื้อเพลิงทุกประเภท ซึ่งเบื้องต้นคาดประเด็นดังกล่าวจะไม่กระทบกับการดำเนินการของโรงไฟฟ้าในปัจจุบัน แต่จะส่งผลให้ประเทศไทยเองจะทำตามแนวทางของโลกได้ที่จะไม่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ๆขึ้น และจะส่งผลให้ต้องมีการวางแผนใช้เชื้อเพลิงประเภทก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งในปัจจุบันก๊าซฯในอ่าวเริ่มหมดลง

MICROSOFT คอนเฟิร์มพร้อมลงทุน DATA CENTER ในไทยวานนี้ในงาน “MICROSOFT BUILD AI DAY EVENT” นายสัตยา นาเดลลา CEOของ MICROSOFT ประกาศลงทุน DATA CENTER ที่ประเทศไทย แม้จะยังไม่ได้ระบุตัวเลขการลงทุนที่ชัดเจน แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าการสร้าง DATA CENTER จะต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่และอยู่ในทำเลที่ดี โดยมี AMATA และ WHA มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับ DATA CENTER ขนาดใหญ่ได้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า WHA มีโอกาสได้คว้างานมากกว่า AMATA เนื่องจากฐานลูกค้าของ WHA เป็นกลุ่มอุตสาหกรรม NEWECONOMY ประกอบกับ WHA มีการพัฒนาบริษัทให้มีความเป็น TECHCOMPANY

ขณะที่นายกฯ กล่าวว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอินเทอร์เน็ตและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค รวมถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ครอบคลุมที่สุด โครงข่ายมือถือ โครงสร้างพื้นฐาน 5G และโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศซึ่งรัฐบาลไทยและไมโครซอฟท์ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการนำเทคโนโลยีคลาวด์ และ AI ที่เปี่ยมประสิทธิภาพมาเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลของไทยในอนาคต ซึ่งฝ่ายวิจัยฯคาดว่า หุ้นที่จะได้ประโยชน์ในอนาคต คือ หุ้นกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่อย่าง ADVANC TRUE ที่แม้ทาง MICROSOFT จะมีการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เอง แต่ยังจำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมต่อกับลูกค้าเป้าหมาย ที่จะต้องอาศัยโครงข่ายพื้นฐาน เช่น เส้นใยแก้วนำแสง ซึ่งมีโอกาสที่ MICROSOFT จะเลือกใช้บริการดังกล่าว จากกลุ่ม ADVANC หรือ TRUE หรือ NT ที่เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ในปัจจุบัน ส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสารที่มีธุรกิจเกี่ยวกับ DATA CENTER และ CLOUDSERVICE ก็คาดได้ประโยชน์เช่นกัน อาทิ AIT, ICN, INSET, ITEL, MFEC และ SKY




Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

ณภัค ภัทรสุปรีดิ์

: เรียบเรียง โทร : 02-276-5976 อีเมล์ : reporter@hooninside.com ที่มา : สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ต่างชาติ ลุยซื้อหุ้นไทย By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็นนักลงทุนต่างชาติ กลับมาซื้อหุ้นไทย วานนี้ จัดไป เกือบ 3,600 ล้านบาท ส่วนในประเทศ พร้อมใจขายอย่าง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้