•    UTILITIES : EVolution Unleashed (iii) - ปัญหาด้านพลังงาน

วิเคราะห์ผลกระทบอันน่าตื่นเต้นของ EV ต่อการผลิตไฟฟ้า
การเปลี่ยนผ่านสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังก้าวไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการมาถึงของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน ตัวเลือกยานพาหนะที่มีราคาไม่แพงมีมากขึ้น ต้นทุนปิโตรเลียมที่สูงขึ้น และโครงการอุดหนุน ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงเติบโตในอัตราที่น่าเหลือเชื่อ โดยสัดส่วนการจดทะเบียน xEV ใหม่ (BEV, PHEV และ HEV) ในประเทศสูงถึง 12% ของยอดรวมในเดือนมกราคม 2024 เพิ่มขึ้นจากเพียง 3% ในปี 2022 ซีรีส์ 'EVolution Unleashed' ของเราจะตรวจสอบว่า การเพิ่มขึ้นของ EV ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม เราประเมินผลกระทบต่อกลุ่มการผลิตไฟฟ้า และจัดการกับคำถามพื้นฐาน : มีความเสี่ยงต่อความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า และความต้องการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมหรือไม่?

สรุปสถานการณ์ทั้งสาม
เราประเมินผลกระทบของการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในประเทศไทยในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง 3 รูปแบบ ได้แก่ รวดเร็ว ค่อยเป็นค่อยไป และช้า การคาดการณ์ของเราระบุว่า จำนวนรถยนต์ xEV ในประเทศไทยน่าจะสูงถึง 3.3-6.3 ล้านคัน ภายในปี 2030F และเพิ่มขึ้นเป็น 24.8-38.5 ล้านคัน ภายในปี 2045F ซึ่งการวิเคราะห์ของเรามุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญสองประเด็นในแต่ละสถานการณ์ ประการแรกคือ อัตราการใช้ในปี 2030F ซึ่งประมาณไว้ที่ 20-40% โดยอิงตามอัตราเป้าหมายที่กำหนดโดยญี่ปุ่น ไทย และจีน ประเด็นที่สองคือ ปีที่คาดการณ์ไว้ หลังจากปี 2030 เมื่อประเทศไทยบรรลุอัตราการใช้ (adoption rate) 70% ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์สำหรับทั้งรถสี่ล้อและสองล้อ

การทดสอบปัญหา – เสถียรภาพของระบบกริดอาจมีความเสี่ยง
ข้อกังวลหลักเกี่ยวกับแนวโน้ม EV เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าและปัญหาด้านพลังงาน การทดสอบปัญหาของเราชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในการทดสอบของเรา หากว่ามีการชาร์จ EV ที่ใช้งานได้ทั้งหมดในประเทศไทยพร้อมกัน มีโอกาสน้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยซึ่งการค้นพบของเราชี้ให้เห็นว่า ในสถานการณ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปของการนำ EV มาใช้ อัตราส่วนสำรองกำลังผลิตไฟฟ้าของระบบกริดอาจลดลงต่ำกว่าระดับ 15% ที่ต้องการเริ่มตั้งแต่ปี 2027F และอาจนำไปสู่การขาดแหล่งจ่ายไฟจาก 2030F เป็นต้นไป การทดสอบบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการเพิ่มอีก 25%-39% ของ capacity ใหม่ที่เชื่อถือได้เพื่อรักษาอัตราสำรอง 15% สำหรับระบบกริด

บทบาทที่สำคัญของผู้กำหนดนโยบาย
นโยบายของรัฐบาล/กฎระเบียบจะเป็นส่วนสำคัญในการบรรเทาและชะลอความเสี่ยงเหล่านี้ เรามองว่าภาษีศุลกากรแบบไดนามิก (เช่น ระยะเวลาการใช้งาน) เป็นนโยบายที่มีประสิทธิภาพและบรรลุผลได้มากที่สุดในการส่งเสริมการชาร์จรถนอกช่วงเวลาปกติ และด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงอาจจำเป็นต้องพิจารณาและปรับเปลี่ยนนโยบายปัจจุบัน นอกจากนี้ การสนับสนุนการใช้โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จสาธารณะก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนจากการชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืนไปเป็นการชาร์จนอกบ้านในเวลากลางวัน ในระยะยาว การส่งเสริมระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ในบ้านคาดว่าจะมีบทบาทสำคัญ

เชิงบวกต่อสาธารณูปโภคและผู้รับเหมาไทย
ประเทศไทยอาจจำเป็นต้องเพิ่ม capacity ไฟฟ้าให้เกินกว่าที่ระบุไว้ โดยในแผนพัฒนากำลังไฟฟ้า (PDP) หากการริเริ่มนโยบายไม่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมและแก้ไขสถานการณ์อย่างเพียงพอ สิ่งนี้อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งหากการนำ EV มาใช้เกินกว่าที่

ประมาณการไว้ การผสมผสานระหว่างแบบดั้งเดิมและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอาจมีความจำเป็น สาธารณูปโภคด้านพลังงานทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเรามีโอกาสรับประโยชน์ โดยที่ GULF มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุด เนื่องจากผลงานและประสบการณ์ที่โดดเด่นในการได้รับโครงการไฟฟ้าภายในประเทศ นอกจากนี้ ผู้รับเหมาจะได้รับประโยชน์เป็นลำดับถัดไป โดยมีโอกาสมากขึ้นจากการมีงานโครงการก่อสร้างเพิ่มเติม โดยในบรรดาบริษัทที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเรา STEC มีประสบการณ์ที่กว้างขวางที่สุดในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า เราแนะนำให้ “ถือ” GULF และ STEC โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 42.00 บาท และ 9.00 บาทตามลำดับ


Market Insight
     E- mail :tiscoresearch@tisco.co.th