•    NSL : ธุรกิจใหม่ลดประสิทธิภาพของธุรกิจหลัก
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นการลงทุนใหม่เป็นปัญหาชั่วคราว
NSL รายงานกำไรสุทธิใน 3Q ที่ 73 ล้านบาท อ่อนแอกว่าที่เราคาดเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ต่ำกว่าคาด การดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และการรับรู้ผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากการร่วมทุนของบริษัท โดยทั่วไป ธุรกิจเบเกอรี่หลักยังคงแข็งแกร่ง แต่การลงทุนในช่วงแรกของ NSL ใน Bake a Wish และ PEN1 F&B นั้นมีความท้าทายมากกว่าที่คาดไว้ในแง่ของการปรับขนาดและการแข่งขัน การรับรู้รายได้แฟรนไชส์จำนวน 1 ล้านบาทไม่เพียงพอที่จะชดเชยต้นทุนคงที่ที่สูงขึ้น แม้ว่าเราจะปรับลดกำไรปี 2023/24F ลง 6%/7% แต่เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ NSL โดยมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 25.25 บาท

กำไรสุทธิ 73 ล้านบาท (+1% YoY, +11% QoQ) พลาดจากอัตรากำไรที่อ่อนแอ
รายได้รายไตรมาสแข็งแกร่งที่ 1.20 พันานบาท (+18% YoY, +3% QoQ) นำโดยผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ (+13% YoY) และแบรนด์และการค้า (+339% YoY) การสนับสนุนมาจากการผ่อนคลายข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 ,การขยายสาขา 7-11 และการเพิ่ม SKU อย่างไรก็ตาม GPM อ่อนแอที่ 17.7% ลดลงจาก 18.4% ใน 3Q22 เนื่องจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบและสาธารณูปโภค และอัตรากำไรที่ลดลงจาก NSL Bake a wish นอกจากนี้การรับรู้ผลขาดทุนที่มากขึ้นจาก JV (PEN 1 F&B) ที่ 4 ล้านบาท เทียบกับ 2 ล้านบาทใน 2Q23 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 9.7% จาก 9.5% ใน 3Q22 OPM จึงลดลงเหลือ 7.9% จาก 8.9% ใน 3Q22

มูลค่าที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการประเมินค่าสัมพัทธ์
เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมที่ปรับแก้ที่ 25.25 บาท โดยอิงจากกำไรต่อหุ้นปี 2024F ที่ 1.36 บาท/หุ้น โดยมี P/E ที่ 20.0 เท่า ซึ่งความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ 1) ข้อตกลง MOU กับ CPALL 2) ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ และ 3) ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่

Market Insight
     E- mail :tiscoresearch@tisco.co.th