• CHG : กำไรจะดีขึ้นใน 3Q จากการสนับสนุนช่วง high season
กำไรปรับตัวดีขึ้นจากฤดูกาลและการปรับราคาขึ้น
เราคาดว่า CHG จะรายงานกำไร 3Q23 ที่ดีที่ 283 ล้าน บาท เพิ่มขึ้น 16% YoY และ 46% QoQ แม้ว่าอัตรากำไรจะถูกบีบจากโรงพยาบาลใหม่ก็ตาม หากไม่รวมรายการพิเศษใน 3Q22 กำไรน่าจะลดลง 16% YoY เนื่องจากไม่มีรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด รายได้จากผู้ป่วยใน (IPD) และจากผู้ป่วยนอก (OPD) น่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการผสมผสานระหว่างการเพิ่มขึ้นของฤดูกาลในกรณีต่างๆ (+16% และ +7% QoQ ตามลำดับ) และราคาที่สูงขึ้น CHG ควรได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการปรับขึ้นอัตราค่าธรรมเนียมพื้นฐานขั้นพื้นฐาน 10% (มีผลใช้บังคับ 1 พฤษภาคม 2023) สำหรับโรงพยาบาลชายแดนแม่สอด เราคาดว่าจำนวนผู้ป่วยจะลดลงเนื่องจากน้ำท่วมที่แม่สอด-เมียวดีในเดือนสิงหาคม นอกเหนือจากปัญหาทางการเมืองที่ดำเนินอยู่บริเวณชายแดนแม่สอด

ในส่วนของความสามารถในการทำกำไร เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ใน 3Q23F จะมาอยู่ที่ 28% ลดลงจาก 37.3% ใน 3Q22 แต่ดีขึ้นจาก 26.1% ใน 2Q23 การลดลง YoY และการปรับปรุงเล็กน้อย QoQ แม้ว่าประสิทธิภาพจะดีขึ้นจากการเปิดโรงพยาบาลจุฬารัตน์แม่สอดใน 2Q23 และศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ใน 3Q23 อย่างไรก็ตาม EBITDA Margin สำหรับ 3Q23 น่าจะอยู่ที่ 21.3% ลดลงจาก 30.2% ใน 3Q22 แต่เพิ่มขึ้นจาก 19.8% ใน 2Q23 ด้วยประสิทธิภาพเช่นกัน

ผลการดำเนินงานลดลงใน 4Q23F
กำไรใน 4Q23F น่าจะอ่อนลง QoQ ตามฤดูกาล แต่ขยายตัว YoY จากการเติบโตของ IPD, OPD และ SSO เราคาดว่าอัตรากำไร EBITDA ในปี 2024 จะเพิ่มขึ้นจาก 1) การขยาย CoE ที่ศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ และ 2) การเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลแม่สอด

ความเสี่ยงและการประเมินมูลค่า
เราคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ CHG จากการประเมินมูลค่า โดยมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 3.40 บาท อิงจาก EV/EBITDA ปี 2023 ที่ 19.4 เท่า ซึ่งความเสี่ยงที่สำคัญคือ 1) การเพิ่มขึ้นช้าของโรงพยาบาลใหม่ 2) แนวโน้มขาลงของผู้ป่วยกลุ่มประกันสังคม (SSO) จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ 3) ปัญหาผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย และ 4) ความไม่แน่นอนทางการเมืองบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ที่ยืดเยื้อยาวนาน ปัจจัยบวกคือ 1) ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลใหม่ที่ดีกว่าคาด 2) ผู้ลงทะเบียน SSO ที่สูงกว่าคาด และ 3) เหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนสิ้นสุดลงเร็วกว่าที่คาด