•     CHG : ผลประกอบการบอบช้ำจากต้นทุนการเปิดสาขาแม่สอด
CHG รายงานกำไรสุทธิ 206 ล้านบาท ลดลง 77% YoY และ 14% QoQ ซึ่งพลาดจากการประมาณการของเราและ Bloomberg Consensus 5.5% และ 10% ตามลำดับ การเบี่ยงเบนที่สำคัญจากประมาณการของเราคือ รายได้ที่สูงกว่าที่คาดไว้ แต่สิ่งนี้ถูกชดเชยด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ กระทบรายได้ที่มาจากทุกกลุ่ม นำโดย IPD

ประเด็นสำคัญสำหรับ 2Q23 :
•    รายได้จากการดำเนินงานของโรงพยาบาลลดลง 35% YoY ใน 2Q ส่วนใหญ่มาจากบริการ/การรักษาที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบ QoQ รายได้เติบโต QoQ ในทุกกลุ่ม (ไม่รวม สปสช.) โดย IPD เติบโต 8% QoQ จากการฟื้นตัวของผู้ป่วยไทยและต่างชาติ

•    รายได้จาก SSO เพิ่มขึ้น 23% YoY, 6% QoQ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการปรับขึ้นอัตราค่าใช้จ่ายพื้นฐาน (จาก 1,640 บาทต่อปี เป็น 1,808 บาทต่อปี ตั้งแต่ 1 พ.ค.) รวมถึงการกลับมาของผู้ป่วยใน High Cost Care (Adj. RW≥2)

•    EBITDA margin สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 19.8% ลดลง YoY (43%) และ QoQ (23%) จากต้นทุนเปิดที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลจุฬารัตน์แม่สอด จังหวัดตาก (59 เตียงใน 2Q22) ทั้งนี้ จะมีเตียงเพิ่มขึ้นอีก 40 เตียงในแผนแม่บท นอกจากนี้ เราคาดว่า CHG จะเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนจากค่าใช้จ่ายด้านไอทีที่สูงขึ้นในไตรมาสต่อๆ ไป

•    CHG เข้าซื้อกิจการ Good Estate Co. Ltd ใน 2Q23 ด้วยเงินลงทุนรวม 200 ล้านบาท ในสัดส่วนการถือหุ้นที่เหลือ 30% (ราคาตามข้อตกลง) เพื่อขยายธุรกิจสู่สถานบำบัด และดูแลผู้สูงอายุ

•    แนวโน้ม 3Q23F : เราคาดว่าการดำเนินงานจะเติบโต QoQ จากฤดูกาล โดยมีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก CH3, CH11 และสาขาแม่สอด (เน้นที่ผู้ป่วยจากเมียนมาและชาวจีนที่อาศัยอยู่ในเมียนมา) สุดท้าย EBITDA margin น่าจะถูกกดดันจากศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ที่เตรียมเปิดใน 3Q23F ดังนั้น เราคงแนะนำ “ถือ” โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 3.40 บาท
Market Insight
E- mail :tiscoresearch@tisco.co.th