Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews:PTG ใส่เกียร์ขยายธุรกิจ ดัน EBITDA ปีนี้โต 10- 15% /EPG โชว์ปี 63/64 กำไรโต 22% พร้อมปันผล 0.19 บาทต่อหุ้น

3,797

 

PTG ประเมินผลงาน H2/64 โตสวย
พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง คงเป้า EBITDA ปีนี้โต 10- 15%


นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าภาพรวมผลประกอบการในครึ่งปีหลัง2564 จะเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าการกระจายวัคซีนน่าจะมากขึ้น ส่งผลให้สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปได้ตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลต่อดียอดขาย ขณะที่แผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 4,000 – 4,500 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส1/64 บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 451 ล้านบาท โดยการขยายธุรกิจในไตรมาส2/64 ตลอดจนครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ จะขยายทั้งธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจ Non-Oil โดยในส่วนของการขยายจำนวนสาขาแบ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG 100 –150 สาขา สาขาธุรกิจ Non-Oilจำนวน 120 สาขา ด้วยเป้าหมายจำนวน Touchpointsรวมทั้งสิ้น 3,160 สาขา โดยแบ่งเป็น สถานีบริการน้ำมัน 2,030 สาขา สถานีบริการ LPG และ Mix 260 สาขา จำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil รวม 870 สาขา ภายในปี 2564 โดยเน้นการขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพ และโอกาสในการเติบโตในธุรกิจสูง

นายพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คงประมาณการเติบโต EBITDA ปีนี้ไว้ที่ 10- 15% และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันไว้ที่ 8 - 12% และประมาณการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG ไว้ที่ มากกว่า 100% จากการเข้ามาสู่ธุรกิจ LPG ครัวเรือนและอุตสาหกรรมในปี 2563 ในส่วนของธุรกิจ Palm Complex พีทีจียังคงเป้าหมายการรับรู้ ส่วนแบ่งกำไรสุทธิอยู่ที่ 240 - 260 ล้านบาทต่อปี


นอกจากนี้ประเมินค่าการตลาดทั้งปี 64 จะอยู่ที่ 1.8-1.9 บาทต่อลิตร


อนึ่ง ไตรมาส 1/64 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 531.37 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.32 บาทเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 203.28 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.12 บาททั้งนี้กำไรสุทธิเติบโต 159.9% จากปี ที่แล้ว จากปริมาณการขายที่เติบโตขึ้น ค่าการตลาดที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม และนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายและการลงทุนที่เข้มงวดด้านรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 32,264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากไตรมาสเดียวกันของปี ที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 16.4% จากไตรมาสที่แล้ว จากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น

 

 


EPG โชว์ผลประกอบการปีบัญชี 63/64 เติบโตสดใส กำไรสุทธิ 1,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%
เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.19 บาทต่อหุ้น เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น 23 ก.ค. นี้


รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าปีบัญชี 63/64 (1 เม.ย.63 - 31 มี.ค.64) นับเป็นปีที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก ด้วยปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม และการดำเนินชีวิตของประชาชน ภาครัฐในหลายประเทศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อจำกัดการแพร่ระบาด ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย บริษัทได้ปรับแผนธุรกิจและออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น เช่น การนำนโยบายลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือ นโยบาย "USE" มาใช้บริหารงานภายในองค์กร ("USE" U: Utilization ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า/ S:Save ประหยัดค่าใช้จ่าย และ E: Efficiency เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกด้าน) และมีการรักษาสภาพคล่องและสถานะทางการเงิน มีการทบทวนแผนการลงทุน รวมถึงมีการใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการบรรเทาผลกระทบที่ได้จากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินงานให้ได้มากที่สุด


สำหรับผลการดำเนินงานปีบัญชี 63/64 (1 เม.ย.63 - 31 มี.ค.64) บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 9,569.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 10,217.4 ล้านบาท จำนวน 648.2 ล้านบาท หรือ ปรับตัวลดลง 6.3% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 31.2% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมีกำไรสุทธิ 1,221.2 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 999.3 ล้านบาท จำนวน 221.9 ล้านบาท หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.2% โดยมีสัดส่วนรายได้ แบ่งเป็น AEROKLAS 46.7% AEROFLEX 27.5% และ EPP 25.8% เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้


ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขายรวม 2,626 ล้านบาท หรือลดลง 12.8% จากปีก่อน ยอดขายในประเทศยังเติบโตช้าตามการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง เนื่องจากภาคเอกชนยังคงชะลอการลงทุน อีกทั้ง เกิดความล่าช้าจากกระบวนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ยอดขายตลาดในสหรัฐอเมริกาปรับตัวดีขึ้นเทียบกับปีก่อน ส่วนยอดขายในเอเชียทยอยฟื้นตัว


ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มีรายได้จากการขายรวม 4,471.4 ล้านบาท หรือลดลง 5.4% จากปีก่อน ยอดขายกลุ่มบริษัทแอร์โรคลาส ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 มากที่สุดในช่วงไตรมาสแรกของปีบัญชี 63/64 (1 เม.ย. - 30 มิ.ย. 63) ส่งผลให้กลุ่มลูกค้า OEM ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งในประเทศประกาศหยุดการผลิตชั่วคราวตั้งแต่สิ้นเดือนมี.ค. ถึง พ.ค. 63 อีกทั้ง กลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการซื้อลดลง รวมถึงความล่าช้าจากกระบวนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ แต่เมื่อสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มปรับตัวดีขึ้น กลุ่มบริษัทแอร์โรคลาส สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อรับกับความต้องการยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศทำให้ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในปีบัญชีก่อนหน้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน


สำหรับธุรกิจในประเทศออสเตรเลียมียอดขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์เพิ่มขึ้น เนื่องจากคนออสเตรเลียนิยมท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น อีกทั้งเริ่มเห็นผลงานที่ดีขึ้นอย่างมากจากการบริหารจัดการลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย และสร้างเสริม Synergy ระหว่างธุรกิจ

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขายรวม 2,471.9 ล้านบาท หรือลดลง 0.3% จากปีก่อน แม้ว่าบริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด จะได้รับผลกระทบจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศลดลง จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่อย่างไรก็ตามบริษัทได้รับประโยชน์จากยอดขายของบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคในยุควิถีใหม่ (New Normal) ที่นิยมสั่งอาหารแบบจัดส่งถึงที่ (Delivery) หรือซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น อีกทั้งได้รับประโยชน์จากมาตรการภาครัฐเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

ในปีบัญชีนี้บริษัทมีรายได้อื่นที่ 158.5 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากมาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ซึ่งบริษัทย่อยตั้งอยู่ ภายใต้โครงการสนับสนุนการจ้างงานของกิจการ (Jobs Keeper Program)ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

บริษัทมีต้นทุนขายสินค้าลดลง 9.1% จากปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และการบริหารจัดการให้ต้นทุนในการผลิตลดลง มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 6% จากปีก่อน ซึ่งบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า 92.6 ล้านบาท ลดลง 27% เนื่องจากบริษัทได้รับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ในไตรมาสแรกของปีบัญชี 63/64 (1 เม.ย. - 30 มิ.ย.63) จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าฟื้นตัวต่อเนื่องภายในปีบัญชีจากการดำเนินงานที่ดีขึ้น

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 64 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปีให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.19 บาท (สิบเก้าสตางค์) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 532 ล้านบาท ซึ่งกำหนดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 64 ในวันที่ 23 ก.ค. 64 และหากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 4 ส.ค. 64 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 20 ส.ค. 64

"ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.63 บริษัท ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท หากรวมกับการปันผลในครั้งนี้อีก 0.19 บาทต่อหุ้น จะทำให้บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลรวม 0.28 บาทต่อหุ้น" รศ.ดร.เฉลียว กล่าว

 

---จบ---

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้