HotNews : PTG วาดแผนปี 64  ปริมาณจำหน่ายน้ำมัน โต 8-12% ทุ่มงบลงทุน 4-5 พันลบ.

 

 

PTG ปักธงปี 64 รายได้ - ปริมาณจำหน่ายน้ำมัน โต8-12% หลังโควิดคลี่คลาย พร้อมทุ่มงบลงทุน 4-5 พันลบ. ขยายสาขาธุรกิจ oil - non-oil ขณะที่ประเมินQ4/63 ปริมาณจำหน่ายน้ำมันโต 8-12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รับไฮซีซั่น-ค่าการตลาดดี

 

 

 

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 เติบโต 8-12% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 6-10% ซึ่งมาจากปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่คาดว่าจะเติบโต 8-12% หรือแตะที่ระดับ 5,400-5,600 ล้านลิตร จากปีนี้คาดทำได้ 5,000 ล้านลิตร เนื่องจาก โดยมองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศปรับตัวดีขึ้น และไม่ได้รับแรงกดดันจากมาตรการล็อคดาวน์เหมือนในปีนี้ และคาดว่าปลายไตรมาส3/2564 จะเริ่มมีวัคซีนป้องกันออกมาใช้แล้ว

 

 

นอกจากนี้ บริษัทฯยังวางงบลงทุนปีหน้า 4,000-5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ใช้สำหรับขยายสถานีบริการน้ำมันและก๊าซ LPG เพิ่มอีก 150-200 สาขา จากสิ้นปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 2,100 สาขา โดยใช้งบลงทุนประมาณ 3,000-3,500 ล้านบาท ใช้สำหรับขยายธุรกิจ Non-oil ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 500 ล้านบาท รองรับลงทุนธุรกิจอื่น

 

 

ขณะเดียวบริษัทฯมีแผนขยายสมาชิก PT Maxcard ในปีหน้าเพิ่มอีก 3 ล้านราย เป็น 18 ล้านราย จากสิ้นปีนี่ที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านราย

 

 

ด้านผลประกอบการไตรมาส 4/2563 คาดว่าปริมาณจำหน่ายน้ำมันจะเติบโต 8-12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังเข้าไฮซีซั่น หมดฤดูฝนและเข้าสู่ฤดูการเก็บเกี่ยว รวมถึงกิจกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งหนุนยอดการใช้น้ำมันดีเซลและเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าการตลาดยังคงดีอยู่และเชื่อว่าจะดีไปจนถึงปีหน้า

 

 

“ในเดือนพฤศจิกายน มียอดจำหน่ายน้ำมันเติบโตมากกว่า 10% จากเดือนตุลาคมที่อยู่ระดับประมาณ 340 ล้านลิตร เพราะหมดหน้าฝนไปแล้วและเข้าสู่ช่วงท่องเที่ยว” นายพิทักษ์ กล่าว

 

 

 

 

PTG สุดแกร่ง กำไร Q3/63 โตแรง 98.6%

 

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 255 ล้านบาท หรือคิดเป็น 98.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) 1,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 511 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันจากปีก่อน

 

 

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการบริการอยู่ที่ 25,315 ล้านบาท ลดลง 3,170 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 11.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายและบริการในส่วนของธุรกิจน้ำมันที่ลดลง 11.7% จากราคาค้าปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการปรับตัวลดลง 19.5% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่บริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโตขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากการเติบโตธุรกิจแก๊สแอลพีจี ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ Max Mart และธุรกิจอื่นๆ ที่กลับมาเติบโตหลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของ Covid–19 ในไตรมาสที่ 2

 

 

โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจน้ำมัน คิดเป็น 88.1% และธุรกิจ Non-Oil 11.9% ซึ่งสามารถแบ่งกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เป็นธุรกิจแก๊สแอลพีจี 4.7% ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 2.6% ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ Max Mart และธุรกิจอื่นๆ 4.6% โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 1,895 ล้านบาท ลดลง 4.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงการรายงานทางการเงินตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 ซึ่งบริษัทต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาจากสิทธิในการใช้สินทรัพย์และดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้สินตามสัญญาเช่าแทนการบันทึกค่าเช่าแบบเดิม

 

 

 

“ จากปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ มาจากการใช้น้ำมันโดยรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ผ่านทุกช่องทางอยู่ที่ 13.9% เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และจำหน่ายผ่านสถานีบริการของ PT ของ PTG คิดเป็น 95.9% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทั้งหมด หรือเพิ่มขึ้น 11.2% จากช่วงเดียวกันของปี ที่แล้ว จากการขยายจำนวนสถานีบริการ และการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ยังคงรักษามาร์เก็ตแชร์ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับที่ 2 คิดเป็น 16.6% ”