HotNews : AMATA ชะลอลงทุนนิคมฯในเมียนมา

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 2 กุมภาพันธ์ 2564) AMATA เกาะติดสถานการณ์ความผันแปรทางการเมืองในเมียนมา ชะลอแผนการลงทุนโครงการพัฒนานิคมฯเมืองอัจฉริยะอมตะย่างกุ้ง หลังเริ่มพัฒนาเฟสแรกแล้ว 500 ไร่ ลงทุน 140 ล้านบาท ปลายปี 63 ยอมรับต้องประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อเนื่อง ลุ้นนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ย้ำศักยภาพพื้นที่ในเมียนมาเป็นโอกาสของนักลงทุน จ่อเจรจรารอลงทุน 20 ราย ทั้งญี่ปุ่น และ ยุโรป

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) AMATA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ติดตามการเมืองในเมียนมาอย่างใกล้ชิด หลังเกิดสถานการณ์รัฐประหารในเมียนมา โดยยอมรับว่าค่อนข้างมีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ชื่อโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอมตะย่างกุ้ง (Yangon Amata Smart & Eco City) พี้นที่ทั้งหมด 2,000 เอเคอร์ หรือประมาณ 5,000 ไร่ ซึ่งขณะที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเฟสแรก 200 เอเคอร์ หรือประมาณ 500 ไร่ โดยเพิ่งเริ่มลงทุนในเดือน ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ใช้เงินลงทุนประมาณ 140 ล้านบาท

"จากตอนนี้ที่เราลงทุนไป 140 ล้านบาท ถามว่าจะลงทุนต่อหรือไม่ เราก็ต้องดูสถานการณ์ " นายวิบูลย์ กล่าว

ทั้งนี้ หากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังไม่คลี่คลาย บริษัทฯ ประเมินว่าการรับรู้รายได้ จากโครงการนิคมอุตสาหกรรมฯ เฟสแรก ที่เมียนมา อาจจะยังไม่รับรู้รายได้ในปี 2564 นี้ ซึ่งหากประเมินจากลูกค้าที่สนใจเข้ามาเจรจากับบริษัทฯ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 100-300 ไร่ โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนยุโรปมีสัดส่วนที่ไม่มากนัก

"ต้องบอกว่าโควิดในเมียนมาภาพที่ออกมาก็ไม่ได้ดีนัก พอมีเรื่องการเมืองเข้ามาเราคงต้องมารอดูว่าทางตะวันตกจะมีมาตรการโต้ตอบอย่างไร เมียนมาอาจจะถูกบอยคอตจากทางตะวันตก ซึ่งสิ่งที่กระทบกับเรา คือลูกค้าเราเป็นลูกค้าต่างประเทศทั้งหมด ทำให้ผมคิดว่าตอนนี้เราต้องดูสถานการณ์วัน/วัน หรืออาทิตย์/อาทิตย์ ไปครับ แล้วค่อยมาประเมินสถานการณ์กันต่อไป" นายวิบูลย์ กล่าว

นายวิบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ความผันแปรทางการเมือง ประกอบกับการแพร่ระบาดโควิด 19 ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าแผนการพัฒนาโครงการดังกล่าวได้รับผลกระทบต่อการเข้าไปพัฒนานิคมฯ ดังนั้นอาจจะทำให้แผนการพัฒนามีความล่าช้าออกไปอีก ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของกลุ่มลูกค้า ที่อยู่ระหว่างการเจรจาเข้ามาลงทุนในพื้นที่ ประมาณ 20 ราย ที่มีทั้งญี่ปุ่น และ ยุโรป ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ 100 เปอร์เซ็นต์

“ยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติโดยส่วนใหญ่กังวลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของรัฐบาลในเมียนมา โดยเฉพาะกลุ่มยุโรป และประเทศอเมริกา เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้มักจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายการแทรกแซงทางการเมือง ดังนั้นจึงอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศเมียนมาในระยะต่อไป แต่อย่างไรก็ตามคงต้องรอความชัดเจนนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาต่อไป” นายวิบูลย์ กล่าว

อย่างไรก็ตามแผนการพัฒนาโครงการดังกล่าวในระยะต่อไป อมตะ เตรียมแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากเกิดกรณีที่นักลงทุนยังไม่ตัดสินใจเข้ามา จึงจำเป็นต้องเลื่อนการพัฒนาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบไฟฟ้าและระบบน้ำ แต่เมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติก็คงเดินหน้าพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อไป

สำหรับแผนการพัฒนานิคมฯโครงการในเมียนมา เป็นการขยายพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้น ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงาน ถือเป็นพื้นที่มีศักยภาพที่มีความพร้อมในการสร้างความได้เปรียบทางการค้า เนื่องจากเป็นประเทศที่เปิดใหม่ มีต้นทุนค่าแรงที่ต่ำ ประกอบกับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งออก ดังนั้นหากรัฐบาลเมียนมา ใช้หลักการในระบอบประชาธิปไตย ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและต่างประเทศได้