Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : จับสัญญาณกำไร Q3/62 กลุ่มโรงกลั่น หลัง IRPC ขาดทุน 1.3 พันลบ.

2,337

HotNews : จับสัญญาณกำไร Q3/62 กลุ่มโรงกลั่น หลัง IRPC ขาดทุน 1.3 พันลบ.

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 5  พฤศจิกายน   2562) IRPC  หุ้นกลุ่มโรงกลั่น ที่ประเดิมประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3/62   พลิกมีผลขาดทุนสุทธิ 1,320.73 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,560 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือน มีผลขาดทุนสุทธิ 660.88 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9,361 ล้านบาท ทั้งนี้ IRPC  ระบุว่าสาเหตุที่ ไตรมาส 3/62   ขาดทุน  1,320.73 ล้านบาทเนื่องจากราคาขายปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ  ประกอบกับกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิลดลง 2,404 ล้านบาท จากกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ 1,071 ล้านบาทในไตรมาส 3/61 เป็นขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ 1,333 ล้านบาท  นอกจากนี้กำไรจากการลงทุนลดลง 95 ล้านบาท

 

 

ส่วนหุ้นกลุ่มโรงกลั่นตัวอื่นๆ จะมีทิศทางหรือแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/62 เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ IRPC หรือไม่ หรือผลงานอาจจะสวนทางกับ IRPC โปรดติดตามข่าวฮอต!! วันนี้ "จับสัญญาณกำไร Q3/62 กลุ่มโรงกลั่น" ............

 

 

เริ่มที่ TOP บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรสุทธิใน 3Q19 ของ TOP อ่อนตัว QoQ โดยประเมินกำไรสุทธิใน 3Q19E ที่ 538 ล้านบาท -88% YoY , -5% QoQ จาก 1) คาดค่าการกลั่นยังทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีขึ้นจาก 2Q19 ที่ 2.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล 2) กำลังกลั่นที่ 265 KBD (พันบาร์เรลต่อวัน) -20% QoQ เนื่องด้วยมีการปิดซ่อมบำรุงในเดือน มิ.ย. นี้ประมาณ 15 วัน

 



บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) TOP คาดกำไรสุทธิใน 3Q19E อ่อนตัว QoQ ประเมินกำไรสุทธิใน 3Q19E ที่ 538 ล้านบาท -88% YoY , -5% QoQ จากการปิดซ่อมบำรุง และ Stock loss ประมาณ 700 ล้านบาท ในขณะที่ค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น QoQ ทั้งนี้เราปรับประมาณกำไรสุทธิปี 2019E ลง 27% เหลือ 9,426 ล้านบาท และปี 2020 ลง 17% เหลือ 13,578 ล้านบาท

 

 

โดยเป็นการปรับสมมติฐาน PX spread จากปริมาณ supply PX ในปี 2019E-2020E ที่เพิ่มขึ้นราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาลดลง 5% สะท้อนผลการดำเนินงาน 3Q19E ที่คาดว่าจะอ่อนตัว แต่เราเชื่อว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวใน 4Q19E จาก IMO และการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่อีกครั้ง

 

 


คาดกำไรสุทธิใน 3Q19E อ่อนตัว QoQ เราประเมินกำไรสุทธิใน 3Q19E ที่ 538 ล้านบาท -88% YoY , -5% QoQ จาก 1) คาดค่าการกลั่นยังทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีขึ้นจาก 2Q19 ที่ 2.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล 2) กำลังกลั่นที่ 265 KBD (พันบาร์เรลต่อวัน) -20% QoQ เนื่องด้วยมีการปิดซ่อมบำรุงในเดือน มิ.ย. นี้ประมาณ 15 วัน (คาบเกี่ยวจนถึง เดือน ก.ค. อีก 15 วัน) 3) มีค่/าใช้จ่ายเกี่ยวกับซ่อมบำรุงประมาณ 650 ล้านบาท 4) Aromatic ที่อ่อนตัวลงประเมิน GIM ที่ 0.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และ 5) Stock loss ประมาณ 700 ล้านบาท จากราคาน้ำมันที่ปรับลง

 



ปรับประมาณการปี 2019E/20E ลง 27% และ 17% ตามลำดับ เราปรับประมาณกำไรสุทธิปี 2019E ลง 27% เหลือ 9,426 ล้านบาท และปี 2020 ลง 17% เหลือ 13,578 ล้านบาท โดยเป็นการปรับสมมติฐาน PX spread ลงเนื่องจากปริมาณ supply PX ในปี 2019E-2020E ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ PX spread อยู่ในระดับต่ำกว่าที่เราประมาณการไว้เดิม ส่งผลให้เราปรับ GIM ของ PX ลง 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

 

 


ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 74.00 บาท อิง EV/EBITDA ที่ 7.0 เท่า (10-yr average EV/EBITDA)คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรในช่วง 4Q19E จาก IMO และการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่อีกครั้ง

 

 

 


ส่วนบล.หยวนต้า คาด SPRC จะประกาศงบ 3Q62 ขาดทุนสุทธิ 0.6 พันล้านบาท ทรงตัว QoQ แต่พลิกจากกำไรสุทธิ 1.2 พันล้านบาทใน 3Q61 กดดันจากค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) ที่สูงขึ้น และขาดทุนสต็อกน้ำมัน 0.3 พันล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาด 3Q62 SPRC จะรายงานขาดทุนสุทธิ 0.6 พันล้านบาท ทรงตัว QoQ แต่พลิกจากกำไรสุทธิ 1.2 พันล้านบาทใน 3Q61 กดดันจากค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) ที่สูงขึ้น และขาดทุนสต็อกน้ำมัน 0.3 พันล้านบาท เทียบกับ 2Q62 ที่ขาดทุน 0.1 พันล้านบาท และ 3Q61 ที่กำไร 0.6 พันล้านบาท

 


หากหักรายการพิเศษ จะขาดทุนจากการดำเนินงาน 0.4 พันล้านบาท ขาดทุนลดลง QoQ จากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น แต่เทียบกับ 3Q61 พลิกเป็นขาดทุนจากค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) ที่สูงขึ้นมาก สาระสำคัญดังนี้

 

1) อัตราการผลิตอยู่ที่ 91% หรือ 150 kbd (-1% QoQ, +5% YoY) ถือว่าต่ำกว่าระดับปกติ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบการผลิตน้ำมันเบนซินของ Unit RFCC สูงขึ้น

 

2) ค่าการกลั่นตลาดที่ US$5.6/bbl (+120% QoQ, +12% YoY) 3) ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น US$5.4/bbl (+41% QoQ, +149% YoY) จากการปรับปรุง-เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 46 ล้านเหรียญฯ สำหรับปี 2563 เราคาดผลประกอบการจะ Turnaround หลังผ่านช่วงที่ยากลำบากในปี 2562 หนุนจาก 1) กำลังผลิตเพิ่มขึ้น 6% เป็น 175 kbd 2) อัตราใช้กำลังผลิตเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติที่ 99%

 

3) ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้น YoY จากการเริ่มใช้มาตรการควบคุมกำมะถันของ IMO 4) ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลดลง เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 154 ล้านเหรียญฯ

 

 


อย่างไรก็ตาม ทิศทางผลการดำเนินงานระยะสั้นยังอ่อนแอ คาด 4Q62 เป็นจุดต่ำสุดของปี กดดันจาก 1) แผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่ทุกๆ 5 ปี จำนวน 45 วัน ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 ทำให้คาดว่าอัตราใช้กำลังผลิตจะลดลงเหลือ 50% 2) บริษัทมีแผนลงทุนขยายกำลังผลิต-เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไปพร้อมกับปิดซ่อมบำรุง ทำให้ 4Q62 มีค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปกติ 68 ล้านเหรียญฯ อ้างอิงอัตราใช้กำลังผลิตที่ 50% ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มจะคิดเป็น US$8.3/bbl ทำให้คาดว่า SPRC ต้องมีค่าการกลั่นถึง US$14/bbl จึงจะเพียงพอ Break-even ค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากเป็นไปตามคาด กำไรสุทธิ 9M62 จะเท่ากับ 0.5 พันล้านบาท เราคงประมาณการปี 2562 ที่ 0.3 พันล้านบาท แต่มี Downside จากงบ 4Q62 ที่อ่อนแอ

 


มอง SPRC เป็นหุ้นพื้นฐานดีด้วย

 

1) คุณภาพ-การบริหารโรงกลั่นมีประสิทธิภาพสูง ความน่าเชื่อถือโรงกลั่นอยู่ระดับ First quartile ของภูมิภาค

 

2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มี D/E ratio เพียง 0.5x และ ROE สูงกว่าคู่แข่ง

 

3) ทิศทางกำไรปี 2563 จะ Turnaround จากกำลังผลิตใหม่ อัตราการผลิตสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายลดลง ผลบวกจาก IMO และโอกาสขยายธุรกิจใหม่เป็นสตอรี่เติบโตในอนาคต และ

 

4) เงินปันผลสม่ำเสมอ-สูงกว่าคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นงบ 2H62 ยังท้าทายจากการเข้าสู่วัฏจักรปิดซ่อมบำรุงใหญ่ และมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เชิงกลยุทธ์นักลงทุนยังไม่ต้องรีบเข้าลงทุน โดยอาจรอจังหวะเข้าลงทุนหลังผ่านงบปี 2562 หรือมี Margin of safety มากกว่านี้ คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2562 ที่ 9.70 บาท

 

 

 

บล.ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/62 ของ BCP จะอ่อนลง ทั้งจาก ธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจตลาด โดยคาด BCP จะมีกำไรสุทธิ 321 ล้านบาท (-39% QoQ, -83%YoY) ทั้งจากกลุ่มโรงกลั่น ธุรกิจตลาด และกลุ่มพลังงานไฟฟ้า

 

 


บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดผลประกอบการ BCP จะชะลอลงจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงในไตรมาสนี้ โดยมองว่า BCP ใน 3Q19 จะมีผลประกอบการที่ย่อลงจากไตรมาสก่อน ตามธุรกิจ ดังนี้

 


(1) กลุ่มโรงกลั่น: ผลประกอบการของกลุ่มโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน จะลดลงจากไตรมาสก่อน โดยแม้ว่า GRM ในไตรมาสนี้ จะเท่ากับ 1,657 ล้านบาท หรือ 7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทว่าคาดว่าผลกระทบจากการปิดซ่อมบำรุง Hydrocracking Unit ตามแผน 30 วัน ในเดือน ก.ค.-ส.ค.ทำให้กำลังการผลิตลดลง -2.4%QoQ อยู่ที่ 110KBD และ จะมี Inventory Loss ติดลบ 773 ล้านบาท โดยติดลบมากกว่าไตรมาสก่อนที่ติดลบ 107 ล้านบาท จากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลงในไตรมาสนี้จาก 67.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อน เหลือ 61.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาสนี้ ดังรูปที่ 1 โดยผลของค่า Freight ที่สูงขึ้น ไม่กระทบต่อ BCP มากนัก จากคาร์โกส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากตะวันออกกลาง (อ่านเพิ่มเติมจาก Energy Sector Update วันที่ 21 ตุลาคม 2019 )



(2) กลุ่มธุรกิจตลาด: ใน 3Q19 ส่วนของ คาด EBITDA กลุ่มธุรกิจตลาด ที่ 558 ล้านบาท ลดลง 75 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยค่าการตลาดรวมสุทธิลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในระหว่างไตรมาส ทำให้ราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าไตรมาสก่อน อีกทั้งปริมาณของการขาย ก็ลดลงเล็กน้อยเนื่องจากไม่มีช่วงวันหยุดยาวในไตรมาสนี้

 

(3) กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า : ธุรกิจในไตรมาสนี้ มีรายได้ 800 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ลดลง 48 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน และ EBITDA 726 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมจากโซลาร์ฟาร์มลดลงตามความเข้มแสง ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจาก Wind Farm และ Geothermal ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากลมมรสุมกำลังแรงในฟิลิปปินส์ และการหยุดซ่อมโรงงานที่อินโดนีเซียลดลง

 

 

คาดการณ์ผลการดำเนินงาน 3Q19 กำไรสุทธิ 321 ล้านบาท


สำหรับผลการดำเนินงาน คาดว่าไตรมาสสามปี 2019 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 42,777 ล้านบาท (-11%% QoQ, -20%YoY) จากแทบทุกรายธุรกิจ และจะมีกำไรสุทธิ 321 ล้านบาท (-39% QoQ, -83%YoY) ทั้งจากกลุ่มโรงกลั่น ธุรกิจตลาด และกลุ่มพลังงานไฟฟ้า
ทั้งนี้ ปรับลดกำไรสุทธิลงร้อยละ 18 จากประมาณการเดิม สำหรับ ปี 2019 เพื่อสะท้อนต้นทุนโรงกลั่นที่สูงขึ้นและราคาน้ำมันดิบในครึ่งหลังของปีที่ลดลงจากครึ่งปีแรก ส่งผลให้เราปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 31 บาท

 

 

คงคำแนะนำ 'ซื้อ' BCP ด้วย ราคาเป้าหมายใหม่ 31 บาท (จากเดิม 34.5 บาท) โดยเราประเมินว่า BCP จะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบในปี 2020 จะไม่เลวร้ายอย่างที่หลายคนคาด จากอุปสงค์ของอินเดียและจีน นอกจากนี้ ฝั่งอุปทานก็ยังลดลงด้วยเช่นกัน เพราะสงครามในตะวันออกกลางที่ยังรุนแรงไม่ลดลงต่อ จากการถอนทหารของสหรัฐจากซีเรีย

 

 


ดีบีเอสฯ แนะนำ "ถือ" PTTGC ราคาเป้าหมาย 55 บาท/หุ้น โดย คาดกำไรสุทธิ 3Q62F ของ PTTGC อ่อนแอ ประมาณการกำไรสุทธิไตรมาสนี้ไว้ที่ 2.89 พันล้านบาท (-77%YoY, +32%QoQ)

 

 

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ คาดกำไรสุทธิ 3Q62F ของ PTTGC อ่อนแอ โดยประมาณการกำไรสุทธิไตรมาสนี้ไว้ที่ 2.89 พันล้านบาท (-77%YoY, +32%QoQ) ซึ่งการฟื้นตัว QoQ มาจากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น โดยคาด GRM +30%QoQ เป็น 4.5 US$/bbl , P2F ของอะโรเมติกส์ +36%QoQ เป็น 102 US$/ตัน, ขาดทุนจากสต๊อกน้อยลงเป็น 100 ล้านบาท และมีกำไรจาก FX ราว 110 ล้านบาทใน 3Q62F อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบ YoY ทั้งค่าการกลั่น GRM และสเปรดปิโตรเคมี ลดลงแรงที่ -30%YoY, -59%YoY ตามลำดับ

 

 

แนวโน้ม 4Q62F ยังไม่ดี เพราะมีปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 54 วัน ทำให้ไม่ได้รับผลดีจาก IMO 2020 เต็มที่

 

ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 62F-63F ลง 38% และ 43% สะท้อนสมมติฐานราคา HDPE ที่ต่ำลง 14% เป็น 950 US$/ตัน, ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (P2F) ที่ลดลง 60% เป็น 100 US$/ตัน ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกซบเซามากกว่าคาด

 

 

ปรับคำแนะนำเป็นถือ (เดิมซื้อ) และลดราคาพื้นฐานเป็น 55 บาท ทั้งนี้แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะซื้อขายที่ P/BV ปี 62F-63F ต่ำเพียง 0.7-0.8 เท่า แต่แนวโน้มธุรกิจยังไม่ดีทำให้ P/E อยู่ในระดับสูงราว 16 เท่า คาดการณ์ Dividend Yield ไว้ที่ประมาณ 3% ต่อปีในช่วงปี 62F-63F ทั้งนี้ในกลุ่มโรงกลั่น ทาง DBS ให้ TOP เป็นหุ้น Top pick เพราะได้ประโยชน์จาก IMO 2020 มากที่สุด และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพดีสุดในกลุ่ม

 

 

 

อย่างไรก็ดี บล.หยวนต้า มองว่าปี 2563 โรงกลั่นเป็นความหวัง…ส่วนน้ำมัน-ปิโตรเคมียังอ่อนแอ


ข้ามไปปี 2563 มองว่าอุตสาหกรรมฯ ยังอยู่ในช่วงที่ยากลำบาก สาเหตุหลักมาจากประเด็นด้านอุปสงค์ที่ถูกกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และสงครามการค้าที่น่าจะยืดเยื้อไปถึงช่วง 4Q63 ก่อนเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งสวนทางอุปทานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกำลังผลิตปิโตรเคมี ส่งผลให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบ-ปิโตรเคมีจะอ่อนตัว-ทรงตัวในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม เราคาดผลประกอบการกลุ่มฯ ปี 2563 จะเติบโตอ่อนๆ +9% YoY เป็น 2.5 แสนล้านบาท 

 

 

โดยหลักมาจากกลุ่มโรงกลั่นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวจากมาตรการ IMO และผ่านวัฏจักรปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในปีนี้มาแล้ว ทำให้อัตราการผลิตสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายลดลง

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้