Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : IRPC กับกำไรที่หดหาย?

4,775

HotNews :  IRPC กับกำไรที่หดหาย?  

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (7 พฤษภาคม 2562) ทีมข่าวหุ้นอินไซด์  เจาะงบโค้งแรก IRPC  ทำไมกำไรหดหาย 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้คำตอบจาก "นพดล ปิ่นสุภา"  เผยสเปรดราคาผลิตภัณฑ์-วัตถุดิบลดลง ฉุดกำไร Q1/62ทรุด แม้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 516 ล้านบาท 

 

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) IRPC รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 1/2562 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4/2561บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 54,274 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากราคาขายปรับตัวลดลงร้อยละ 11 ตามราคาน้ำมันดิบ และปริมาณขายปรับตัวลดลงร้อยละ 5 ตามอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันที่ลดลงอยู่ที่ 200,000 บาร์เรลต่อวัน หรือร้อยละ 6จากการที่โรงงาน RDCC หยุดผลิตเป็นเวลา 28 วัน เพื่อติดตั้งอุปกรณ์สำหรับโครงการเพิ่มตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการทำงำนของอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน (โครงการ Catalyst Cooler) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้โรงกลั่นสามารถเลือกกลั่นน้ำมันดิบได้หลำกหลำยประเภท

 

ขณะที่ไตรมาส 1/2562 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายลดลง 6,214 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 เป็ นผลจากทั้งราคาขายและปริมาณขายปรับตัวลดลงร้อยละ 6 และร้อยละ 4 ตำมลำดับ โดยผลการดำเนินงานปรับตัวลดลงอยางมาก เป็นผลจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบปรับตัวลดลง และอัตราการกลั่นน้ำมันลดลงร้อยละ 6 จากการที่โรงงาน RDCC หยุดผลิตเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ตามโครงการ Catalyst Cooler บริษัทฯ มี Market GIM ลดลง 3,611 ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 42 ทำให้ Accounting GIM ลดลง 3,095 ล้านบำท หรือลดลงร้อยละ 35 แม้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิเพิ่มขึ้น 516 ล้านบาทก็ตาม

 

 

โดยมี EBITDA ลดลง 3,034 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินลดลง 85 ล้านบาท และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการลงทุน ลดลง 87 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานของบริษิทร่วมปรับตัวลดลง ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2562 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 153ล้านบาท ลดลงร้อยละ 94

 

ด้านนายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/62 บริษัทมีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท ลดลง 94% จากไตรมาส 1/61มีกำไรสุทธิ 2,752 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานปรับตัวลดลงอย่างมาก เป็นผลจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบปรับตัวลดลง และอัตราการกลั่นน้ำมันลดลง 6% จากการที่โรงงาน RDCC ปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 28 วัน เพื่อติดตั้งตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการทำงานของอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน (โครงการ Catalyst Cooler) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้โรงกลั่นให้สามารถเลือกกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลายประเภท

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1.63 พันล้านบาท นับว่ามีผลการดำเนินงานดีขึ้น เนื่องจากมีกำไรจากสต็อกน้ำมันสุทธิเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และอัตราการกลั่นน้ำมันลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน RDCC

 

 

 


บล.คิงส์ฟอร์ด มองงบ Q2/62
IRPC ฟื้นตัว แต่ถูกถ่วงด้วยตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงาน

 


บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า IRPC รายงานผลประกอบการ 1Q62 ค่อนข้างน่าผิดหวังมีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด แม้พลิกจาก 4Q61 ที่ขาดทุนสุทธิ 1,627 ล้านบาท แต่กำไรลดลงจากปีก่อนถึง 94%YoY โดยไตรมาสนี้รับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ 720 ล้านบาท เทียบกับ 4Q61 ที่ขาดทุนเป็นจำนวนมาก และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 127 ล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า อย่างไรก็ตามหากตัดรายการพิเศษออก พบว่าผลการดำเนินงานหลักพลิกเป็นขาดทุน 680 ล้านบาท

 

 

โดยมีสาเหตุหลักจากโรงงาน RDCC หยุดผลิตตามแผนเป็นเวลา 28 วัน เพื่อติดตั้ง Catalyst Cooler ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียม (โรงกลั่น+น้ำมันหล่อลื่น) มีปริมาณการกลั่นลดลง 4%QoQ อยู่ที่ 200 KBD (อัตราการใช้กำลังผลิตอยู่ที่ 93%) ประกอบกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลงจากภาวะอุปทานล้นตลาด Market GRM (โรงกลั่น+น้ำมันหล่อลื่น) จึงลดลง 68%QoQ อยู่ที่ 1.9$/bbl ส่วนกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี อัตราการผลิตของผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์และอะโรมาติกส์-สไตรีนิคส์อยู่ที่ 89% และ 82% ลดลงจาก 4Q61 ที่ 98% และ 104% ตามลำดับ

 

 

เนื่องจากโรงงานหยุดซ่อมบำรุงตามแผน อีกทั้งส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ทำให้ Market P2F ลดลง 20%QoQ อยู่ที่ 5.7$/bbl รวมอัตรากำไรขั้นต้นทุกธุรกิจ (Market GIM) ลดลง 38%QoQ อยู่ที่ 8.7$/bbl แต่เมื่อรวมกำไรสต๊อกฯ กลับเข้าไป Accounting GIM จะเพิ่มขึ้น 51%QoQ อยู่ที่ 9.9$/bbl

 


สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานหลัก 2Q62 คาดฟื้นตัว QoQ ตามทิศทางค่าการกลั่นสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้น 27%QTD เฉลี่ย 4.1$/bbl รวมถึงไม่มีแผนการปิดซ่อมบำรุงคอยกดดัน อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิอาจไม่เด่นนัก เนื่องจากมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่จำนวน 763 ล้านบาท (One Time) ขณะที่กำไรสต๊อกน้ำมันมีโอกาสลดลงจาก Upside ของราคาน้ำมันที่เริ่มจำกัด อย่างไรก็ดีคาดช่วง 2H62 แนวโน้มผลผลการดำเนินจากจะดีขึ้นจาก 1H62 อย่างมีนัยสำคัญ

 

 

ด้วยแรงหนุนจากการใช้กำลังการผลิตและประสิทธิภาพของโรงงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวของค่าการกลั่นจากอุปสงค์ของน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นก่อนมาตรการ IMO ซึ่งน่าจะช่วยชดเชยการอ่อนตัวลงของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากอุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคและอุปสงค์ที่ชะลอตัวจากความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ อย่างไรก็ตามจากกำไรสุทธิ 1Q62 ที่ออกมาต่ำกว่าคาดมากคิดเป็นเพียง 1.5% ของประมาณการทั้งปี ประกอบกับแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ย่ำแย่กว่าคาด เราจึงต้องปรับลดประมาณการกำไรปี 62-63 ลง 42% และ 18% อยู่ที่ 6,034 ล้านบาท ชะลอตัวลง 22%YoY ก่อนจะกลับมาเติบโต 59%YoY อยู่ที่ 9,401 ล้านบาท ในปี 63

 

 

ภายใต้ประมาณการใหม่ฝ่ายวิจัยปรับราคาเหมาะสมปี 62 ลงจาก 6.80 บาท เป็น 6.00 บาท อิง PBV 1.37x ตามค่าเฉลี่ยภูมิภาค พร้อมกับแนะนำ "ถือ" รอดูสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น แม้แนวโน้มกำไรรายไตรมาสจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว แต่อาจถูกกดดันจากการปรับลดประมาณการของตลาด ขณะที่ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันหากผู้ผลิตทั้งในและนอกโอเปกกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพ รวมถึงประเด็นการเจรจาการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะสำเร็จได้ภายในเดือน พ.ค.หรือไม่

 

 

 

 


ทรีนีตี้ฯ บอกกำไร Q1/62
IRPC ต่ำกว่าคาดมาก

 

บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ ออกทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า ในภาพรวม กำลังการผลิตของทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีถือว่าต่ำลง จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงของหน่วย RDCC ที่นานกว่าคาด และการปิดซ่อมหน่วย HDPE2 ที่เคยประกาศไว้ผลการดำเนินงาน 1Q19 กำไรสุทธิอยู่ที่ 153 ล้านบาท ต่ำกว่าคาดมาก เหตุผลหลักมาจากธุรกิจปิโตรเลียม โดยบริษัทมีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 720 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เราคาดราว 280 ล้านบาท เนื่องจาก การคิดของ IRPC ใช้ค่าเฉลี่ยของ 45 วันสุดท้ายของไตรมาส สำหรับผลต่างราคาน้ำมันระหว่าง 2 ไตรมาส

 

อย่างไรก็ดี ด้านปิโตรเคมี กำไรถือว่าลดลงราว 23% จากไตรมาสก่อน จากการลดลงของราคาปิโตรเคมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์ Toluene และ Mixed Xylene ที่มีสเปรดเมื่อเทียบกับ Naphtha ลดลงราวร้อยละ 20-30 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว

 

จะเห็นได้ว่าผลประกอบการที่ออกมาถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ และต่ำกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว รวมถึงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อันเนื่องมาจากปัจจัยต่อไปนี้

 


ธุรกิจปิโตรเคมี ถูกกดดัน จากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ราคาลดลงตามคาด ธุรกิจปิโตรเคมี มี Market GRM ลดลงจาก 7.1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อน เหลือ 5.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาสนี้ เนื่องจากการลดลงของราคาปิโตรเคมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์ Toluene และ Mixed Xylene ที่มีสเปรดเมื่อเทียบกับ Naphtha ลดลงราวร้อยละ 20-30 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว

 

เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอุปทานจากโรงงานปิโตร Complex ขนาดใหญ่ในจีน นอกจากนี้ ในส่วนของการผลิต มีการปิดซ่อมบำรุง HDPE/PP ประมาณ 2 สัปดาห์ และ ปิดซ่อมในส่วน Styrenics ประมาณ 1 เดือนโดยเมื่อรวมทั้งหมด จะพบว่า Market GRM เท่ากับ 4,958 ล้านบาท หรือ 8.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 14.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังรูปที่ 2 ท้ายสุด จะมีการสำรองค่าใช้จ่ายสำหรับกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ จะลงบัญชีใน 2Q19 ด้วยมูลค่าราว 760 ล้านบาท รวมถึง มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 87 ล้านบาท สำหรับ USD Bond มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

 

 

 

อย่างไรก็ดี คาด ครึงหลังปี 2019 แนวโน้มน่าจะดีขึ้นเล็กน้อย คาดในช่วงครึงหลังปี 2019 ผลการดำเนินงานน่าจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจาก


1. ราคาน้ำมันดิบน่าจะยืนได้ในช่วง 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากแรงกดดันของการ Sanction น้ำมันจากอิหร่านและเวเนซุเอลา


2. จากการที่ด้าน Opex Cost ลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากค่าที่ปรึกษาที่ลดลง เราประเมินค่าใช้จ่ายด้านบริหารจะลดลงในปีนี้


3. เศรษฐกิจโลกน่าจะกลับมาเติบโตได้ค่อนข้างดีกว่าปลายปีที่แล้ว เศรษฐกิจจีนถึงจุดต่ำสุดแล้วใน 1Q19 ได้เวลาที่เศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพขึ้น จากช่วงปลายปีที่แล้ว เศรษฐกิจจีนได้มีอัตราการเจริญเติบโตต่ำลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ที่เห็นได้ชัดคือด้านการค้าและด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้อุปสงค์ของน้ำมันดิบและปีโตรเคมีของโลก น่าจะกลับมาแข็งแกร่งกว่าปีที่แล้ว

 

ความเสี่ยง ความผันผวนของราคาน้ำมัน, Unplanned Outage, ความล่าช้าโครงการ

 

คำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 7 บาท โดยใช้ P/BV เฉลี่ย 1.47 เท่า ของ BV ปี 2019F โดยเรากำลังพิจารณาทบทวนราคาเป้าหมาย หลังงานการประชุมนักวิเคราะห์

 

 

 

 

กูรูเมย์แบงก์ ส่องโค้ง 2 IRPC ฟื้นตัว QoQ

 

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่าผลประกอบการ 1Q62 ที่เป็นไปตามคาด และแนวโน้มผลประกอบการ 2Q62 ที่คาดจะฟื้นตัว QoQ เราจึงยังคงคำแนะนำ Trading Buy ทั้งนี้เราปรับประมาณการปี 2562 ลง 8.4% สะท้อนรายจ่ายการตั้งสำรองรายจ่ายพนักงาน ราคาเป้าหมายใหม่ เท่ากับ 6.00 บาท (จาก 6.50 บาท) อ้างอิง PBV 1.3 เท่า

 

IRPC รายงานกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท พลิกจาก -1,627 ล้านบาทใน 4Q61 (-94.4% YoY) หากไม่รวมรายการพิเศษ ได้แก่ กำไรสต๊อก 719 ล้านบาท และกำไร FX 184 ล้านบาท IRPC มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานเท่ากับ 639 ล้านบาท ใกล้เคียงคาดการณ์ของเราที่ -652 ล้านบาท ผลประกอบการหลักพลิกเป็นขาดทุน กดดันจาก Market GIM ที่ลดลง 38.4% YoY และQoQ เป็น 8.7 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นผลจากการลดลงของส่วนต่างน้ำมันดีเซล

 

และส่วนต่างผลิตภัณฑ์กลุ่มอะโรเมติกส-สไตรีนิคส์ รวมถึงการหยุดซ่อมบำรุงหน่วย RDCC ซึ่งเป็นหน่วยเพิ่มคุณภาพ ปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นลดลง 6.1% YoY และ 3.8% QoQ เป็น 200 KBD คิดเป็น Utilisation rate 93% เมื่อรวมกำไรจากสต๊อก 1.3 เหรียญต่อบาร์เรล Accounting GIM เท่ากับ 9.9 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 31.1% YoY แต่เพิ่มขึ้น 51.1% QoQ

 

แนวโน้มผลประกอบการปกติ 2Q62 คาดพลิกกลับเป็นมีกำไร จากการกลับมาเดินหน่วย RDCC เต็มที่ ค่าการกลั่นอ้างอิง 2QTD เฉลี่ยปรับตัวขึ้น 27% QoQ เป็น 4.1 เหรียญต่อบาร์เรล หนุนโดยส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน ช่วยชดเชยผลกระทบจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ถูกกดดันจากส่วนต่างปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง 2.3-7.1% QoQ กดดันจากต้นทุนแนฟทาที่เพิ่มขึ้น

 

ปรับประมาณการลง 8.4% เหลือ 8,296 ล้านบาท สะท้อนรายจ่ายพิเศษจากการตั้งสำรองตาม พรบ. คุ้มครองแรงงานใหม่ที่จะส่งกระทบต่อผลประกอบการปี 2562 ประมาณ 763 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาเป้าหมายใหม่เท่ากับ 6.00 บาท (จาก 6.50 บาท) อ้างอิง PBV 1.3 เท่า มี Premium จากค่าเฉลี่ยในอดีต จากกำไรสุทธิที่คาดเติบโตในอัตราเฉลี่ย 15% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

 

ความเสี่ยง ความผันผวนของราคาน้ำมัน ค่าการกลั่นและส่วนต่างปิโตรเคมีต่ำกว่าคาด

 

 

 


หยวนต้า ระบุงบ Q1/62
IRPC อ่อนแอ แต่ไม่ประหลาดใจ


บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า 3 เหตุผลคงคำแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" 1) ประกาศงบ 1Q62 กำไรสุทธิ 153 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิใน 4Q61 จากกำไรสต็อกน้ำมัน 719 ล้านบาท หากนับเฉพาะผลการดำเนินงานปกติ จะขาดทุน 858 ล้านบาท สอดคล้องกับมุมมองของเรา และตลาดส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม 2) เรามองว่า 1Q62 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี โดยคาดกำไรปกติ 2Q62 ฟื้นตัวจากค่าการกลั่น, หน่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (RDCC) กลับมาใช้งานตามปกติ, และเริ่มใช้งานหน่วย Catalyst cooler เพิ้มความสามารถการใช้น้ำมันดิบ 3) มองข้ามไป 2H62 ผลประกอบการจะเด่นกว่าคู่แข่ง จากสัดส่วนการผลิตน้ำมันดีเซลสูงสุดในประเทศทำให้ได้ประโยชน์จากมาตรการ IMO มากกว่าคู่แข่ง และไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงงานในช่วงที่เหลือของปี

 

ประกาศกำไรสุทธิ 1Q62 ที่ 153 ล้านบาท -94% YoY แต่พลิกจากขาดทุนสุทธิใน 4Q61 ด้วยผลของกำไรสต็อกน้ำมัน หากนับเฉพาะผลการดำเนินงานปกติจะขาดทุน 858 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เรา และตลาดคาด แต่ถือว่าไม่ได้ประหลาดใจเพราะไม่ได้คาดหวังกับงบ 1Q62 อยู่แล้ว สาระสำคัญดังนี้ 1) อัตราใช้กำลังผลิตเหลือ 93% หรือคิดเป็น 200,000 บาร์เรล/วัน (-4% QoQ, -6% YoY) จากการปิดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงงานปิโตรเคมี และการหยุดเดินเครื่องจักร RDCC เพื่อติดตั้งหน่วย Catalyst cooler 2)

 

ส่วนต่างราคาน้ำมันปิโตรเลียม และปิโตรเคมีปรับตัวลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ส่งให้ผลกำไรขั้นต้นธุรกิจหลัก (Market GIM) เหลือ US$8.7/bbl (-38% QoQ, -38% YoY) 3) ผลกระทบจากการหยุดเดินเครื่องจักร RDCC 28 วัน โดยผู้บริหารประเมินผลกระทบราว US$1.5/bbl หรือ 780 ล้านบาท 4) กำไรสต็อกน้ำมันรวม NRV ที่ 719 ล้านบาท 5) กำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยน และป้องกันความเสี่ยงรวม 292 ล้านบาท



เชื่อว่ากำไร 1Q62 ที่อ่อนแอจะเป็นจุดต่ำสุดของปี โดยคาดว่ากำไรปกติ 2Q62 จะฟื้นตัว QoQ จากค่าการกลั่นสิงคโปร์ 2QTD เฉลี่ย US$4.1/bbl (+27% QoQ, -33% YoY) นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจาก 1) หน่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (RDCC) กลับมาใช้งานตามปกติ ซึ่งจะสร้างกำไรส่วนเพิ่ม 7-8 ร้อยล้านบาท/ไตรมาส 2) อัตราใช้กำลังผลิตสูงขึ้นเพราะไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุง 3) เริ่มใช้งานเครื่องจักร Catalyst cooler ช่วยเพิ่มความสามารถการใช้น้ำมันดิบคุณภาพต่ำ ช่วยเพิ่ม Margin ได้ US$0.15-0.30/bbl หรือคิดเป็นกำไร 0.6-1.8 ร้อยล้านบาท/ไตรมาส และ 4) กำไรอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (CCS) ราว 3-4 ร้อยล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบจากการตั้งสำรองผลตอบแทนพนักงานตามกฎหมายแรงงานใหม่ 760 ล้านบาทได้

 

มองว่ากำไรที่อ่อนแอใน 1Q62 สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้วโดย YTD -2.6% เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ +0.3% ขณะที่แนวโน้มกำไร 2H62 จะเด่นกว่าคู่แข่ง เพราะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ IMO สูง ด้วยสัดส่วนการผลิตน้ำมันดีเซล (รวม Jet) ราว 70% เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 55% และไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงงานในช่วงที่เหลือของปี เทียบกับโรงกลั่น 4 ใน 6 แห่งของประเทศ (TOP SPRC ESSO PTTGC) ทยอยหยุดซ่อมช่วงที่เหลือของปี คงราคาเหมาะสมที่ 6.60 บาท และคำแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ทั้งนี้ เราพร้อมเพิ่มคำแนะนำหากเห็นสัญญาณฟื้นตัวใน 2Q62 เร็วกว่าคาด

 

 

 


เคจีไอ เชื่อผลประกอบการ Q1/61
ของ IRPC จะต่ำสุดในรอบปีนี้

 

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกบททวิเคราะห์ เปิดเผยว่า กำไรสุทธิของ IRPC ใน 1Q62 อยู่ที่ 153 ล้านบาท (-94% YoY แต่ดีขึ้น QoQ จากที่ขาดทุนสุทธิ 1.6 พันล้านบาท) ต่ำกว่า Bloomberg consensus และประมาณการของเรา 75% หรือคิดเป็นมูลค่าส่วนต่างกันแค่ 460 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรจากสต็อกน้ำมันสุทธิ 719 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของเราที่ 1.1 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่ดีขึ้น QoQ เป็นเพราะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันสุทธิ 719 ล้านบาท

 

จากที่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิสูงถึง 4.7 พันล้านบาทใน 4Q61 โดยเรายังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 7.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 8.0x และเราแนะนำให้ซื้อสะสม IRPC ใน 2H62 เพื่อเก็งกำไรจากอานิสงส์ของนโยบาย IMO เพราะเราเชื่อว่า IRPC จะได้อานิสงส์มากที่สุดเมื่อนโยบายใหม่ของ IMO ที่จำกัดสัดส่วนของกำมะถันในน้ำมันเตามีผลบังคับใช้ในปี 2563 เนื่องจาก IRPC มี Hyvahl unit ซึ่งสามารถผลิตน้ำมันเตาที่มีส่วนผสมของกำมะถันแค่ 0.5% ได้



ยังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 7.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่ 8.0x ถึงแม้ว่ากำไรสุทธิใน 1Q62 จะต่ำกว่าประมาณการของเรา 460 ล้านบาท แต่เราเชื่อว่าผลประกอบการใน 1Q61 จะต่ำสุดในรอบปีนี้ และกำไรจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกไตรมาสตลอดทั้งปีนี้ เนื่องจากบริษัทไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีรอบใหญ่ในไตรมาสที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ เรายังเชื่อว่า IRPC จะได้อานิสงส์มากที่สุดเมื่อนโยบายใหม่ของ IMO ที่จำกัดสัดส่วนของกำมะถันในน้ำมันเตามีผลบังคับใช้ในปี 2563 เพราะ IRPC มี Hyvahl unit ซึ่งสามารถผลิตน้ำมันเตาที่มีส่วนผสมของกำมะถันแค่ 0.5% ได้ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ซื้อสะสม IRPC ใน 2H62 เพื่อเก็งกำไรจากอานิสงส์ของนโยบาย IMO

 

Risks ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ, GRM และ spread ปิโตรเคมี และการตั้งสำรอง 763 ล้านบาทสำหรับกฎหมายแรงงานใหม่ของไทยใน 2Q62

 

 

 

ฟิลลิป ปรับลดคำแนะนำ IRPC
เป็น "ทยอยซื้อ" เพื่อรอการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง

 

บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า 1Q62 กำไรฟื้นตัวน้อยกว่าคาด: กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันได้รับผลจากการปิดซ่อมโรงงาน RDCC 28 วันส่งผลให้ใช้กำลังการผลิตเพียง 93% จาก 97% ใน 4Q61 อีกทั้งส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ต่ำโดยเฉพาะเบนซินและดีเซลที่มีสัดส่วนราว 50% ของกลุ่มโรงกลั่นทำให้ market GIM เหลือเพียง 1.9 $/bbl จาก 5.93 $/bbl ใน 4Q61 แต่หากรวมผลของการกลับรายการ LCM เข้ามาทำให้ Accounting GRM เป็น 3.68 $/bbl

 

 

ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีได้ผลจากการปิดซ่อมและอุปทานใหม่ ๆ ในตลาดเพิ่มขึ้นทำให้การแข่งขันด้านราคามีมากโดยเฉพาะกลุ่มอะโรเมติกส์ได้รับผลกระทบมากจากราคานาฟทาที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ส่วนต่างราคากลุ่มปิโตรลดลงทำให้ market PTF เหลือเพียง 5.68 เหรียญ/บาร์เรล

 

แต่รวมผลกระทบจากกำไรสต็อกส่งผลให้ Accounting PTF เหลือ 5.16 เหรียญ/บาร์เรล  ปรับคำแนะนำ "ทยอยซื้อ" ปรับราคาพื้นฐานเหลือ 6.20 บาท: กำไรที่ประกาศมาต่ำกว่าคาด แม้ 2Q62 จะกลับมาผลิตได้ตามปกติแต่หากค่าใช้จ่ายพิเศษพนักงานและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ดีทำให้ทางฝ่ายปรับลดคำแนะนำลงเป็น "ทยอยซื้อ" เพื่อรอการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ปรับราคาพื้นฐานลงเหลือ 6.20 บาท


หมายเหตุ: กำไร = ล้านบาท, EPS = บาท

 

 


แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กระซิบ
ครึ่งปีหลัง IRPC ฟื้น

 

บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กำไร 1Q62 อ่อนแอ ตามที่ตลาดคาด: บริษัทมีกำไรสุทธิ 153 ลบ.ใน 1Q62 พลิกจาก -1,627 ลบ.ใน 4Q61,-94%YoY กำไรเพิ่มขึ้น QoQ สาเหตุหลักมาจากกำไรจากสต็อกน้ำมัน (รวม LCM) 719 ลบ.($1.26/บาร์เรล) แต่ถูกหักล้างด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันและปิโตรเคมี+ปริมาณขายที่ลดลง ดังนี้ 1) ปริมาณกลั่น 1Q62 ลดลงเป็น 200 พันบาร์เรล/วัน (4Q61: 208 KBD) เพราะโรงงาน RDCC หยุดผลิตตามแผน 28 วัน เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ Catalyst Cooler

 

 

ซึ่งเริ่มผลิตใน พ.ค.62 2) กำไรขั้นต้น (Market GIM โรงกลั่น/น้ำมันหล่อลื่น/ปิโตรเคมี/ไฟฟ้า) ลดลงเหลือ $8.68/บาร์เรล (4Q61: $14.09) แบ่งเป็น 2.1) GIM ของโรงกลั่น=$1.90บาร์เรล (4Q61: $5.93) ตามส่วนต่างราคาเบนซิน+ดีเซลที่ลดลง แม้ crude premium ลดลงเป็น $2.01/บาร์เรล (4Q61: $3.24) 2.2) GIM ปิโตรเคมี=$5.68/บาร์เรล (4Q61:$7.08) ส่วนใหญ่จากส่วนต่างราคาปิโตรเคมีทุกกลุ่มOlefins/Aromatics/Styrenics ลดลง GIM ของธุรกิจไฟฟ้า=$1.10/บาร์เรล 3) กำไรสต็อก(+LCM) $1.26 ทำให้ A/C GIM=$9.94/บาร์เรล 4) กำไรพิเศษ: กำไร FX 127 ลบ.+ขาดทุนด้อยค่าทรัพย์สิน -8 ลบ.+กำไรจาการลงทุน +83 ลบ. แนวโน้ม 2H62 ดีขึ้น:

 

โดยได้แรงหนุนจาก 1) ราคาน้ำมันดิบดูไบยังอยู่สูง 2) ปริมาณกลั่นเพิ่มขึ้นเต็มที่ เพราะไม่มีหยุดผลิต ผลกระทบจากหยุดผลิตของโรงงาน RDCC ทำให้ GIM ลดลง -780 ลบ.(-$1.36/บาร์เรล) ใน 1Q62 3) ได้ผลบวกจากมาตรการ IMO เริ่มปี 63 ทำให้ 2H62 ความต้องการใช้+ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้น เพื่อใช้ทดแทนน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูงเกิน 0.5% (บริษัทมีสัดส่วนน้ำมันดีเซลสูงถึง 50% ของปริมาณกลั่น+ผลิตน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำได้ด้วย)

 


ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัวช้า : แนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยส่วนต่างราคาปิโตรเคมียังอ่อนตัวในปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มดีขึ้น จาก 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ทำให้ความต้องการสูงขึ้น 2) กำลังผลิตใหม่ PP ของโรงงาน RAPID ในมาเลเซีย คาดจะเลื่อนเปิดผลิตออกไปอีก 6 เดือน (จากแผนเดิมใน 2H62) แต่มีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หากยังไม่ได้ข้อยุติที่ดี

 

คำแนะนำ
แนะนำ "ซื้อ" เนื่องจาก 1) กำไร 1Q62 อ่อนแอ ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว 2) แนวโน้มที่ดีใน 2H62 เพราะไม่มีการหยุดผลิต 3) ได้ประโยชน์จากกฎ IMO เริ่มปี 63 ขณะที่โครงการ Mars (ผลิต PX เพิ่มอีก 1.1-1.3 ล้านตัน/ปี) อยู่ระหว่างทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการ คาดจะได้ผลสรุปใน 2Q62 (เดิมจะเริ่มผลิตในปี 66) ราคาเป้าหมายใหม่ 6.90 บ. (เดิม 7.20 บ.) จากปรับลดกำไรปี 62-63 ส่วนมูลค่าหุ้น ประเมินโดยใช้วิธี GGM: ROE=11.50%; COE=9.25%; LTG=5% ได้ P/B=1.53x; 19F BV=4.50 บ. ซึ่งเทียบเท่า 19F P/E=15x; EV/EBITDA=10x

 

ปัจจัยเสี่ยง
เศรษฐกิจโลก ภาวะชะลอตัว/ชะงักงันของเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลก ค่าการกลั่น ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีอะโรเมติกส์ และอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนและต่ำกว่าประมาณการ
อุปทานน้ำมันดิบส่วนเกิน การผลิต shale oil ของสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันต่อการลดลงของราคาน้ำมันดิบโลก

 

 

 


บัวหลวง ชี้มูลค่าหุ้น IRPC
อยู่ในระดับที่น่าสนใจ

 

บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า IRPC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/62 ที่ 153 ล้านบาท ลดลง 94% YoY แต่พลิกกลับจากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/61 หากไม่รวมรายการพิเศษ ขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 632 ล้านบาท พลิกกลับจากกำไรหลักไตรมาส 1/61 และไตรมาส 4/61 ผลประกอบการตำกว่าที่เราคาดการณ์และตลาดคาดเนื่องจากค่าการกลั่นตลาดรวมเฉลี่ยปรับตัวลดลง, อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงในธุรกิจปิโตรเคมีและกำไรจากสินค้าคลังสุทธิที่น้อยกว่าคาด

 

ผลประกอบการไตรมาส 2/62 ของ IRPC คาดว่าจะปรับตัวลดลง YoY เนื่องจากค่าการกลั่นตลาดรวมเฉลี่ยที่ลดลง (เนื่องจากค่าการกลั่นตลาดที่ลดลงกอปรกับส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ลดลง) อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานหลักของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ หนุนโดยปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นที่เพิ่มขึ้น (ไม่มีแผนการปิดซ่อมบำรุง) ค่าการกลั่นตลาดที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล (หนุนโดยการขยายตัวของส่วนต่างราคาก๊าซโซลีน) แม้ว่าจะมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียวจากผลประโยชน์ของพนักงาน อย่างไรก็ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบอาจเป็นอัพไซด์ต่อกำไรสุทธิไตรมาส 2/61

 

ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 2562 ลง 42% มาอยู่ที่ 4,699 ล้านบาท เพื่อสะท้อนสมมติฐานค่าการกลั่นตลาดรวมเฉลี่ยที่ลดลง (จาก 14.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 12.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ดังนั้นเราจึงปรับลดราคาเปาหมาย ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 6.30 บาท (จากเดิม 6.60 บาท) อ้างอิงจาก PBV ที่ 1.4 เท่า

 

ผลประกอบการอันน่าผิดหวังในไตรมาส 1/62 อาจกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตามความคาดหวังต่อผลการดำเนินงานหลักที่จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่เหลือของปี 2562 หนุนโดยปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นและค่าการกลั่นตลาดรวมเฉลี่ยที่สูงขึ้น น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะถัดไป นอกจากนี้มูลค่าหุ้น IRPC ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PBV ปี 2562 อยู่ที่ 1.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1.4 เท่า

 

 

 


ทิสโก้ แนะซื้อ IRPC
เคาะเป้า 6.80 บาท


สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า กำไรจากสต็อคที่ต่ำกว่าคาด ทำให้ผลประกอบการต่ำกว่าคาด โดยผลประกอบการ 1Q19 อยู่ที่ 153 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนใน 4Q18 แต่ลดลง 94% YoY หากไม่รวมรายการพิเศษแล้ว ผลประกอบการจะขาดทุน 686 ล้านบาท (เราคาดขาดทุน 651 ล้านบาท) -121% QoQ และ -128% YoY


การปิดปรับปรุงและ GRM ที่ลดลงเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการ โดย IRPC ได้มีการปิด RDCC เป็นเวลา 28 วันในเดือน ม.ค. เพื่อติดตั้งระบบหล่อเย็นใหม่ ทำให้อัตราการกลั่นรวม และของ RDCC อยู่ที่ 93% และ 70% สำหรับ 1Q19 ลดลงจากเดิมที่ 97% และ 110% ใน 4Q18
GRM ของ IRPC อยู่ที่ 1.9 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลงจากเดิมที่ 5.9 ดอลลาร์ใน 4Q18 และ 5.4 ดอลลาร์ใน 1Q18 แม้ว่า GRM จะอ่อนแอ แต่ชดเชยบางส่วนจาก Premium ของน้ำมันดิบที่ลดลง Olefins อ่อนแอลงจาก PTF ที่ลดลงเป็น 4.2 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิม 4.5 ดอลลาร์ ตามตัวเปรียบเทียบที่ลดลง 5% ของ PP-naphtha นอกจากนี้ อัตรากำไรของ MX และ TL ลดลงทำให้ PTF ของกลุ่มอะโรมาติกส์ลดลง 44% QoQ และ 45% YoY ต่างจาก 4Q18 IRPC ไม่ได้ประโยชน์จากช่วงของการปรับราคา และด้วยการปิดโรงงาน PP & HDPE เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และโรงอะโรมาติกส์เป็นเวลา 1 เดือนกระทบผลประกอบการ



คาดการดำเนินงานฟื้นตัวใน 2Q19
เราเชื่อว่าการดำเนินงานจะฟื้นตัวใน 2Q19 จากการผลิตที่เพิ่มขึ้น และ GIM ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การติด Cooler และการปรับปรุงต่างๆ จะช่วยหนุนการดำเนินงานของอะโรมาติกส์และ GRM เราแนะนำให้ "ซื้อ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 6.80 บาท (PBV 1.5 เท่าสำหรับปี 2019F) โดยมีความเสี่ยงคือ การปิดดำเนินงาน และความผันผวนของราคาเคมี

 

 



ดีบีเอสฯ ทำนาย งบโค้ง 2/62 IRPC กระเตื้อง

 


บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า คาดจะขาดทุนดำเนินงาน 118 ล้านบาทใน 1Q62F ส่วนบรรทัดสุดท้ายประมาณการว่าเป็นกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท ซึ่งดีขึ้นจาก 4Q61 ที่ขาดทุนสุทธิ ปัจจัยที่ทำให้ฟื้นตัว QoQ คือ กำไรจากสต๊อกและ FX ส่วนผลการดำเนินงานหลักขาดทุนจากค่าการกลั่นและสเปรดปิโตรเคมีลดลงเพราะดีมานด์อ่อนแอ รวมทั้งมีปิดซ่อมบำรุงทำให้ปริมาณขายลดลงด้วย ค่าการกลั่นและสเปรดปิโตรเคมีลดลงแรงใน 1Q62 Market GRM ใน 1Q62 เท่ากับ 1.9 US$/bbl (-65%YoY, -68%QoQ) เพราะสหรัฐและจีนส่งออกมากขึ้นแต่ดีมานด์ในตลาดอ่อนลง ส่วน GIM ของปิโตรเคมีเท่ากับ 5.7 US$/bbl (-25%YoY, -20%QoQ) จากอุปทาน PP/PE เพิ่มและต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเร็วกว่าราคาผลิตภัณฑ์

 


แนวโน้ม 2Q62F คาดว่ากระเตื้องขึ้นเพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นจาก 1Q62 ที่มีปิดซ่อมบำรุง ส่วน Market GRM ทรงตัว และสเปรดปิโตรเคมียังอ่อนแอเพราะเป็นช่วง Low season ของอุปสงค์ ผนวกกับมีอุปทานจากสหรัฐและเอเชียเข้ามา ในช่วง 2Q62-QTD สเปรด HDPE และ PP -12%QTD และ -7%QTD เป็น 508 และ 567 US$/ตัน

 


คงคำแนะนำถือ ให้ราคาพื้นฐาน 6.45 บาท (อิง P/BV ปีนี้ที่ 1.4 เท่า หรือ +0.5SD) ทั้งนี้ประมาณการกำไรมีความเสี่ยงจาก 1. โครงการ Catalyst Cooler อาจก่อให้เกิดผลประโยชน์น้อยกว่าคาด (บริษัทตั้งเป้าลดต้นทุน 0.30 US$/bbl จากโครงการนี้) และ 2. สเปรดปิโตรเคมี โดยเฉพาะ PE/PP ที่อ่อนแอจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามา 6-7 ล้านตัน/ปีในช่วงปี 62-63

 

 

 

เคที ซีมิโก้ คาด market GlM
IRPC แข็งแกร่งขึ้น


หลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า เชื่อว่าไตรมาส 1Q19 ที่น่าผิดหวัง และอาจตามมาด้วยการปรับลดคาดการณ์กำไรของตลาดฯ คาดจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น ซึ่งน่าจะเป็นจังหวะดีในการสะสมหุ้น เพื่อรองรับคาดการณ์ผลการดำเนินงานที่คาดจะแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสต่อ ๆ ไป ซึ่งคาดจะหนุนจากปริมาณการกลั่นที่สูงขึ้น (เทียบกับบริษัทปลายน้ำอื่นที่มีการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงปลาย 2Q19/4Q19)

 

รวมทั้งแนวโน้ม market GlM ที่คาดจะแข็งแกร่งขึ้น (จากการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ของโครงการใหม่ในแผนงาน รวมทั้งความเป็นไปได้ของความล่าช้าในการเร่งการผลิตของอุปทานโพลิโพรพิลีนใหม่ (PP) ของ RAPlD ที่มีผลกระทบจากเหตุไฟไหม้เมื่อช่วงต้นเมษายนที่ผ่านมา และความเสี่ยงเชิงบวกจากสเปรดดีเซลที่มีแนวโน้มกว้างขึ้นใน 2H19E ก่อนที่มาตรการ lMO จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2020) เรายังคงแนะนำ "Outperform" (ราคาเป้าหมายปี 2019E ที่ 6.5 บาท)

 

 

IRPC

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้