Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : SET แพง!! ไปมั้ย

2,681

HotNews : SET แพง!! ไปมั้ย

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (23 กันยายน 2562) กูรูทรีนีตี้ ประเมินตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของเดือนกันยายน 62 มีโอกาสแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,600-1,680 จุด มองเฟด ปรับลดดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่คาดการณ์อยู่แล้วระบุระดับ SET Index ปัจจุบัน ราคาหุ้นเริ่มไม่ถูกแล้ว แนะกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น Defensive และ Selective ชู S11, THANI, JMT, RATCH, TPCH, EASTW, ADVANC, INTUCH, TU ,BBL ,HANA, KCE

 

 

ด้านเซียน TISCO ESU ชี้ Fed ไม่ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องตามที่ตลาดคาด ชี้ตลาดอาจผิดหวังจนเทขาย "หุ้น" อีกระลอก แนะเลี่ยงลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ เน้นลงทุน ทองคำ , REIT และ เฮลธ์แคร์

 

 

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของเดือนกันยายน 2562 ประเมิน SET Index มีโอกาสแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,600-1,680 จุด โดยมีปัจจัยกดดันที่สำคัญ คือ

 

1.หลังคลังน้ำมันของซาอุฯถูกโจมตี เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยง Geopolitical risk ที่สูงขึ้น จนทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมากังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง และเริ่มเห็นปรากฏการณ์โยกย้ายเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

 

2. ระดับ SET Index

 

 

 

 

ปัจจุบัน ราคาหุ้นเริ่มไม่ถูกแล้วด้วยมิติของ Valuation โดยล่าสุดประมาณการ EPS ปี 2020E ลงมาอยู่ที่ระดับ 110 บาทแล้ว ทั้งนี้ หากอิงบนระดับ Forward PE ในกรณีดีสุดที่ 15 เท่า จะได้ระดับดัชนีที่เหมาะสมอยู่เพียงแค่ 1,650 จุดเท่านั้น หรือแทบไม่มี Upside จากระดับดัชนีปัจจุบันเลย

 

 

สำหรับปัจจัยบวกที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การทำข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯกับจีน หากการเจรจาระหว่างผู้แทนของทั้ง 2 ประเทมีทิศทางที่ดีขึ้น อาจนำมาสู่การประกาศข้อตกลงชั่วคราวได้ เช่น

 

 

1. การเลื่อนการเพิ่มอัตราภาษีเป็น 30% บนสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญฯออกไปอีกจากวันที่15 ต.ค.

 

2. การยกเลิกการเพิ่มอัตราภาษี 30% นี้

 

3.การเลื่อน /ยกเลิกการเก็บภาษี 10% บนสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.6 แสนล้านเหรียญฯที่จะบังคับใช้วันที่ 15 ธ.ค.นี้ ซึ่งอาจนำมาสู่การเลื่อน/ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าของจีนในอัตรา 5-10% ที่จะมีขึ้นในวันเดียวกัน หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เช่น อิเล็กทรอนิกส์

 

 

ทั้งนี้ นายณัฐชาต ยังแนะนำกลยุทธ์การลงทุน Defensive และ Selective ไปยังหุ้นในธีม Low bond yield (ไฟแนนซ์, สาธารณูปโภค, สื่อสาร, REIT & IFF) ต่อไป มองตัวหุ้นในกลุ่มนี้ที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ได้แก่ S11, THANI, JMT, RATCH, TPCH, EASTW, ADVANC, INTUCH

 

 

นอกจากนั้น แนะนำหาจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาลงมาแรงเช่น TU และ ถือลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เช่น BBL เนื่องจากคาดว่ากนง.จะคงดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 25 ก.ย.นี้ ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA, KCE) แนะหาจังหวะซื้อเมื่อ่อนตัว เพื่อคาดหวัง Positive surprise ที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงการค้าชั่วคราวระหว่างจีนกับสหรัฐฯในช่วงถัดไป

 

 

 

 

 

ด้านนายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า แม้ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) รอบล่าสุด จะมีมติ 7 ต่อ 3 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps เป็น 1.75%-2.00% ตามที่นักลงทุนคาด ซึ่งนับเป็นการลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 (ครั้งแรกในการประชุมปลายเดือน ก.ค.)

 

 


แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ Fed ไม่ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับความคาดหวังของนักลงทุน โดยในการแถลงข่าวนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กล่าวย้ำว่าการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้นั้นเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนนโยบายในช่วงกลางวัฏจักร (Mid Cycle Adjustment) และ Fed ยังไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนยังคาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 2 ครั้งในปีหน้า ซึ่งในอนาคตมีความเสี่ยงอย่างมากที่นักลงทุนจะเทขายสินทรัพย์เสี่ยง หาก Fed ไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องตามที่คาดไว้

 

 

 


"จากการคาดการณ์ดอกเบี้ยของคณะกรรมการ Fed (FOMC Median Dot Plot) ได้ส่งสัญญาณว่า Fed จะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75%-2.00% ไปจนถึงสิ้นปี 2563 สวนทางกับนักลงทุนในตลาด Fed Funds Futures ที่ยังมีความคาดหวังสูงว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงอีกอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนยังคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1-2 ครั้งในปี 2563

 

 

 

 

ซึ่งยังมากกว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่สนับสนุนให้ลดดอกเบี้ยลงมากที่สุดที่มองว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกเพียงครั้งเดียว จึงมีความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจผิดหวังหาก Fed ลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดไว้ และทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง 'หุ้น' อีกระลอก " นายคมศรกล่าว

 

 


ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่มีความผันผวนสูง และแนวโน้มผลประกอบการยังถูกดดันจากสงครามการค้า รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการอัดฉีดสภาพคล่องและการลดดอกเบี้ย เช่น ทองคำ และ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และหุ้นในกลุ่มที่ผลกำไรไม่ผันผวนไปตามเศรษฐกิจโลกมากนัก อีกทั้งมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว เช่น กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Health Care) เป็นต้น

 

SET

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้