สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(20 ตุลาคม 2567)------'บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล' หรือ TMAN หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และ/หรือจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพชั้นนำของประเทศไทย นับถอยหลังเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 หลังปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 102 ล้านหุ้น ที่ราคา 16.30 บาทต่อหุ้น ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันอย่างล้นหลาม สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพธุรกิจของ TMAN
"ประพล ฐานะโชติพันธ์" หัวเรือใหญ่ "TMAN" กล่าวด้วยความมุ่งมั่นว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและฐานะเงินทุน เพื่อรองรับแผนขยายลงทุนยกระดับเทคโนโลยีการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต รวมทั้งการคิดค้น พัฒนาและวิจัยเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพนวัตกรรมใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นขับเคลื่อนนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน” และเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมสุขภาพ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่มุมมองโบรกเกอร์ชั้นนำจากบริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ ให้ราคาเหมาะสม TMAN ที่ 26.40 บาท ด้านบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเหมาะสมที่ 25.50 บาท ฟากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า ให้ราคาเหมาะสม 24.75 บาท ส่วนบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) และบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ประเมินราคาเป้าหมายที่ 24 บาท
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานและการเติบโตของ บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล (TMAN) ประเมินว่ากำไรในปี 2567 -2569 จะอยู่ที่ระดับ 444 ล้านบาท 508 ล้านบาท และ 562 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย(CAGR) ร้อยละ 12.5 ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น โดยคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์ยาสามัญและยาสามัญใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาล และการกระจายสินค้าเอง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ประเมินมูลค่าหุ้น TMAN สิ้นปี 2567 ที่ 26.40 บาท ด้วยวิธี DCF อิง WACC ที่ร้อยละ 8.5 เทียบเท่า Forward P/E Ratio ปี 2567 ที่ 23.8 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของหุ้นที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกันที่ 23.3 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า TMAN เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ มีประสบการณ์กว่า 50 ปี สินค้าเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภค โดยคาดกำไรในช่วง 3 ปี ข้างหน้า (ปี 2024-26) เติบโต 21%/9%/9%ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2021-2023) รายได้เติบโตเฉลี่ย 25% CAGR กำไรสุทธิเติบโตจาก 56 ล้านบาทในปี 2021 เป็น 473 ล้านบาทในปี 2022 (+738% y-y) และเป็น 431 ล้านบาทในปี 2023 (-9% y-y) เราคาดรายได้ใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2024-2026) เติบใตในอัตราเฉลี่ย 14% CAGR จากผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะเติบโตเร่งตัวตามกระแสนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ขณะที่ยาแผนปัจจุบันคาดมีสัดส่วนกว่า 50% และคาดกำไรสุทธิขยายตัว 21%/9%/9% ตามลำดับ
สำหรับการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี P/E Multiplier และ DCF เราพบว่าได้มูลค่าที่เหมาะสมใกล้เคียงกันโดยอยู่ในช่วง 25.50-26.80 บาท เราเห็นว่าการประเมินมูลค่าด้วยวิธี P/EMultiplier เหมาะสมเนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการบริโภคและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตามปัจจัยต่างๆในแต่ละปี เราประเมินมูลค่าโดยอิง2025E P/E 20.0 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 2025E P/E ของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกันในไทยและในต่างประเทศที่มีค่าเฉลี่ยของ P/E 21.2 เท่าในปี 2025 บนประมาณการEPS ที่ 1.27 บาทต่อหุ้นในปี 2025 คำนวณได้มูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ 25.50 บาทต่อหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 24.75 บาท ทั้งนี้ TMAN จะซื้อขายใน SET ด้วยจำนวนหุ้นเพิ่มทุนใหม่ไม่เกิน 71.4 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.75 บาท จำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO ไม่เกิน 400.0 ล้านหุ้น ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 24.75 บาท อิงวิธี PER ที่ 21.9 ท่า
ปี 2567 คาดกำไรปกติเติบโต17% YoY เป็น 452 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่สำคัญได้แก่ 1.) กลุ่มยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จากผลิตภัณฑ์เดิมที่ได้รับความนิยมมากขึ้น และแผนขายยาสามัญใหม่แก่ลูกค้าโรงพยาบาล 2.)กลุ่มยาสมุนไพร จากความต้องการเพิ่มขึ้นและการออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ภายใต้แบรนด์เดิมที่ติดตลาดและได้รับการยอมรับแล้ว เช่น Propoliz และไอยรา ยาน้ำแก้ไอ 3.)ประชาชนมีการเข้าถึงสิทธิการรักษาของภาครัฐมากขึ้น และ 4.) ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการสถานพยาบาลในไทยมากขึ้น นอกจากนี้คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ 50.8% (+167bps YoY) จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยาแผนปัจจุบันและสมุนไพร ส่งผลบวกต่อ Economy of scale ในขั้นตอนการผลิต
บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดการณ์กำไรสุทธิของ TMAN ไว้เท่ากับ 468 ล้านบาท ในปี 2567F และ 525 ล้านบาท ในปี 2568F ซึ่งมีแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายที่มาจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้ง TMAN ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหนายยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพด้วยความใกล้ชิดกับลูกค้าโดยตรงจากการกระจายผลิตภัณฑ์เอง ทำให้มีความได้เปรียบในการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ TMAN มีกำไรปกติ (normalized profit) งวด 1H67 เท่ากับ 247.8 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่า 52.9% ของประมาณการทั้งปีของเราสำหรับปี 2567
ประเมินราคาเหมาะสมของ TMAN กลางปี 2568 ไว้ที่ 24.00 บาท อ้างอิงPE เฉลี่ยสำหรับปี 2567-2568 ที่ 19.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกันในตลาดหลักทรัพย์ไทย ทั้งนี้เราเชื่อว่า TMAN มีศักยภาพการเติบโตของยอดขาย และความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานในระยะยาว โดยมีอุปสรรคการเข้ามา (entry barrier) ของรายใหม่ จากการที่ TMAN เป็นผู้ผลิตยาต้นน้ำ และสามารถกระจายผลิตภัณฑ์ไปถึงระดับปลายน้ำ
บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยเลือกใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด หรือ Discounted Cash Flow ในการประเมินมูลค่าของ TMAN เพื่อสะท้อนศักยภาพการเติบโตในระยะยาว จะได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 24.00 บาท/หุ้น และเพิ่มขึ้นเป็น 27.40 บาท/หุ้น ในปี 2568 คิดเป็น Implied PER ปี 2567 ที่ 21.12 เท่า ใกล้เคียงกับค่ากลางของ Peer ที่นำมาเปรียบเทียบทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ 21.5 เท่า แม้ว่า TMAN จะเป็นบริษัทฯ ที่มีขนาดและฐานรายได้ต่ำกว่าบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม TMAN มีจุดเด่นสำคัญจากการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วยตนเอง จึงทำให้เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ประกอบกับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการวิจัยค้นคว้าสูตรยาสามัญใหม่ ทำให้ TMAN มีอัตราการทำกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม นอกจากนั้น TMAN ยังมีโอกาสในการเติบโตสูงจากการขยายกำลังการผลิตและการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จำเป็นต้องรักษาเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรปี 2567 -2570 จะเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 12.7% จาก 431 ล้านบาท ในปี2566 ขึ้นเป็น 651 ในปี 2570
///จบ///
By:อณุภา ศิริรวง
แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เฟด มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับ 4.75-5.00% ....
รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์
สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้