7 เซียนหุ้น เคาะราคาเป้าหมายหุ้น บมจ. เฮลท์ลีด (HL) น้องใหม่ไอพีโอ ร้านขายยารายแรกของเมืองไทยที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น จ่อเข้าเทรดตลาด MAI วันที่ 3 ธ.ค.นี้  เคาะราคาเป้าหมาย 13-15 บาท/หุ้น เทียบราคาขายไอพีโอ 9.80  บาท/หุ้น

 

หุ้นน้องใหม่ไอพีโอป้ายแดง!  บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) (HL) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก! ในช่วงเปิดขายไอพีโอระหว่างวันที่ วันที่ 25-26 และ 29 พ.ย. 2564 โดยราคาขายไอพีโออยู่ที่ 9.80 บาท เตรียมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ MAI ในวันที่  3 ธันวาคมนี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "HL" ในหมวดธุรกิจบริการ

 

“การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของ HL ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่งในพื้นที่ของกทม.เป็นหลัก จากนั้นก็จะกระจายให้ครอบคลุมไปทั่วเขตปริมณฑลตามหัวเมืองที่สำคัญ ส่วนใหญ่ขนาดพื้นที่ต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 80-150 ตารางเมตร และเมื่อมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 26 สาขา ก็จะผลักดันยอดขายเติบโต ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น”ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) กล่าว

 

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 25.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.13 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 355.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.08% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 255.95 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 57.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 38.65  ล้านบาท  ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 912.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น14.57% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 796.67  ล้านบาท

 

 

 

 

+++โบรกฯเคาะราคาเป้าหมาย 13-15 บ.

+++อัพไซด์ 32-53% เทียบราคาไอพีโอ

 

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ของ HL ที่ 15 บาท อิง DCF (WACC 8.3%, Risk Premium 8.1%, Terminal Growth 3%) สามารถ Implied PE และ PEG ที่ 35 เท่า และ 0.97 เท่า ตามลำดับใกล้เคียง PE ของกลุ่มค้าปลีก แต่เป็น PEG ที่ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกพอควร ซึ่งปัจจุบันเทรดที่ 1.45 เท่า หากไม่รวม CPALL MAKRO ที่กำลังรวม Lotus’s พบว่า PEG ค้าปลีกจะอยู่ที่ 1.7 เท่า (เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต 5 ปีย้อนหลังของกลุ่ม) และยังต่ำกว่า PEG เฉลี่ยของร้านขายยาใน Global Peers ด้วย (China 1.12 เท่า, Japan 2.23 เท่า และ US 1.65 เท่า)"

 

HL จะเป็นเชนร้านขายยาบริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งมีโครงสร้างธุรกิจคล้ายกลุ่มค้าปลีก ปัจจุบันยังมีสาขาไม่มากเพียง 25 สาขา ยังมีช่องว่างให้โตได้อีกมาก ขณะที่อุปสรรคของผู้ประกอบการรายใหม่ค่อนข้างสูง เพราะเป็นธุรกิจที่มีกฎระเบียบเข้มงวดทั้งสถานประกอบการ และคุณภาพการเก็บยา ต้องมีเภสัชคอยให้คำแนะนำ อีกทั้งยังต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทที่สามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน และไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง

 

“สิ่งที่ต่างจากธุรกิจค้าปลีกทั่วไป คือ สินค้า ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าอุปโภคบริโภค แต่เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ มีความผันผวนต่ำ ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิในปี 2564-2566 จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 35.8%”

 

 

 

 

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินราคามูลค่าพื้นฐานในปี 2565 อยู่ที่ 14 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงปี 2564-2566 จะเติบโตระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 37% โดยมองว่า HL เป็นบริษัทที่น่าสนใจจากการเป็นรายขายยา Chain Store ที่มีรายได้ต่อสาขาสูงกว่าร้านขายยาที่มีจำนวนสาขาใกล้เคียงกัน สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีทำให้มีอัตรากำไรสุทธิสูงสุดในกลุ่มร้านยา Chain Store  ปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 16% ตามความต้องการยาและอาหารเสริมที่สูงขึ้น และการขยายสาขาที่เร่งตัวขึ้นปีละ 4-5 สาขา ทั้งนี้คาดว่า GPM ในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 22.3% ในปี 2565 อยู่ที่ 22.8% และในปี 2566 อยู่ที่ 22.9% จากสัดส่วนรายได้จาก House brand ที่สูงขึ้น และความสามารถในการต่อรองราคาสินค้ากับ supplier ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นจาก economies of scale

 

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเหมาะสมโดยอิง Forward PE 30 – 33 เท่า ซึ่งเป็นช่วงค่ากลางถึงค่าบนของ Forward PE ของ peer ที่นำมาเปรียบเทียบ (peer ในกลุ่มที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมและอุปกรณ์การแพทย์ มี PE เฉลี่ยที่ 28 เท่า และ peer ในกลุ่มค้าปลีกที่ทำธุรกิจในแบบ chain store มี PE เฉลี่ยที่ราว 33 เท่า) ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมในกรอบ 13.0-14.30 บาท

 

มีมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของ HLจากแผนขยายสาขาต่อเนื่อง แม้ว่าไม่ได้ขยายสาขาจำนวนมาก แต่เน้นที่ทำเลมีศักยภาพทำให้มียอดขายต่อสาขาสูง และคุ้มทุนเร็ว รวมทั้งยังมีอัพไซด์ในอนาคต หากมีการปรับโครงสร้างธุรกิจอื่นๆ เช่น การขายแฟรนไชส์ เป็นต้น

 

ทั้งนี้ ประเมินว่า บริษัทจะมีการเติบโตของกำไรสุทธิระหว่างปี 2564-2566 อยู่ที่ 39.1% 62.8% และ 26.2%  ตามลำดับ  คิดเป็นอัตราเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 42%

 

ถือว่าอัพไซด์เปิดกว้างกว่า 32-53% เทียบราคาขายไอพีโอที่ 9.80 บาท กับอนาคตแนวโน้มผลการดำเนินงานโตก้าวกระโดด ทั้งในแง่ของรายได้และกำไร จากความสามารถการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น หลังเดินหน้าขยายสาขาตามแผนงานที่วางไว้ เชื่อว่า HL จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนอย่างน่าประทับใจ ในช่วงปลายปีนี้ ได้อย่างแน่นอน!!!

 

 

 

 

 

 

เปิดอัพไซด์หุ้น HL

ร้านขายยารายแรกเข้าระดมทุนตลาดหุ้น

 

 

                                                  ราคาเป้าหมาย                                         อัพไซด์   
                                                   (บาท)                                                   (%)

บล.ฟินันเซีย ไซรัส                            15.00                                                  53.06

บล.บียอนด์                                      14.00                                                  42.85

บล.โนมูระ พัฒนสิน                           14.00                                                  42.85

บล.เอเชียพลัส                                 13.70                                                  39.79

บล.ทรีนีตี้                                       13.51                                                  37.85

บล.โกลเบล็ก                                   13.50                                                  37.75

บล.เคจีไอ                               13.00 -14.30                                         32.65 - 45.91

-----------------------------------------------------------------------------------------------------