
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (02 กรกฎาคม 2561) TMILL แย้มครึ่งปีแรกผลงานโตตามเป้า ส่วนครึ่งปีหลังยังโตสวย หลังเข้าไฮซีซั่น ย้ำเป้ากำไรสุทธิปีนี้โต 30% หลังเพิ่มอัตราใช้กำลังการผลิตอีก 10% เป็น 75% เตรียมลงทุนติดตั้งหุ่นยนต์เพิ่ม หวังเป็นโรงงานโม่แป้งที่มีทันสมัยที่สุดในประเทศ
ดร.ชาญกฤช เดชวิทักษ์ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL เปิดเผยกับสำนักข่าวหุ้นอินไซด์ในงาน “mai FORUM 2018 มหกรรมรวมพลังคน mai ครั้งที่ 5” ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีแรก จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายกำไรสุทธิปีนี้ เติบโต 30% เทียบกับปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 69.50 ล้านบาท หลังเพิ่มอัตรากำลังการผลิตอีก 10% ซึ่งจะอยู่ที่ 75% จากเดิมที่ปี 2559 และปี 2560 บริษัทฯมีอัตรากำลังการผลิตอยู่ที่ 65% เพื่อที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯสามารเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
"บริษัทได้ตั้งเป้ากำไรสุทธิโต 30% เมื่อเทียบกับปี 2559 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 70 ล้านบาท โดยในปี 2560 ถือเป็นปีบริษัทมีผลกำไรจากปัจจัยเสริม เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติการณ์ของข้าวสาลีในตลาดโลก ทำให้ผลผลิตออกมาต่ำกว่าเกณฑ์ที่หวังไว้ เพราะฉะนั้นในปี 2560 ราคาข้าวสาลีทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาเป็น 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดิมอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐ/ตัน และจะกลับสู่ตลาดในสภาวะปกติในปี 2561 " ดร.ชาญกฤช กล่าว

สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ คาดว่าผลประกอบการน่าจะมีทิศทางที่เติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงไฮ ซีซั่นของการบริโภคแป้งสาลีในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 4/2561 จะเป็นช่วงที่มีการบริโภคสูงที่สุดของปี
ด้านแผนการลงทุนในปีนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับกระบวนการทำงานภายในบริษัทฯ ให้มีความแข็งแกร่ง และสอดรับกับแนวทางนโยบายของภาครัฐ คือ นโยบาย Industry 4.0
ส่วนความคืบหน้าของโครงการติดตั้งหุ่นยนต์ทางบริษัทฯ ได้ติดตั้งแล้วเสร็จ 1 จุด คือ ภายในคลังสินค้า และจะเติดตั้งเพิ่มอีก 1 จุดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการวาดโครงการและการประกวดราคา ทั้งนี้ในการติดตั้งหุ่นยนต์จะทำให้บริษัทสามารถที่จะลดแรงงานคนลงได้ โดยในยูนิตแรกที่ได้ติดตั้งแล้วเสร็จสามารถลดกำลังคนไปได้ 12 คน ส่วนยูนิตที่ 2 ที่กำลังจะติดตั้งเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าจะสามารถปรับลดกำลังคนไปได้อีกประมาณ 10 คน ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ทางบริษัทสามารถรักษาก้าวเข้าสู่การเป็นโรงงานโม่แป้งสาลีที่มีความทันสมัยที่สุดในประเทศไทยต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบคู่แข่งในอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 9 โรง รวมถึงจะสามารถช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในการโม่แป้งสาลีของบริษัทได้อย่างเป็นนัยสำคัญ

ดร.ชาญกฤช กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าลงมา ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ โดยตรง เนื่องจากบริษัทฯ นำเข้าแป้งสาลีจากต่างประเทศ 100% ส่งผลให้ต้นทุนมีการปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการควบคุมดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบในด้านลบ แต่มองว่าจะได้อานิสงที่ดีในเรื่องของข้าวสาลีในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 4/2561 และไตรมาสที่ 1/2562 ซึ่งราคาของข้าวสาลีปรับตัวลดลง ทำให้ต้นทุนของบริษัทมีประสิทธิภาพในการแข่งขันมากขึ้น
นอกจากนี้ ดร.ชาญกฤช กล่าวถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงว่าเป็นไปตามภาวะตลาดโดยรวม ทั้งนี้มองว่าหลังจากการประกาศงบไตรมาส 2/2561 ออกมาแล้ว ราคาหุ้นจะปรับตัวกลับขึ้นไปได้ "ราคาหุ้นของเราตอนนี้ก็เป็นเหมือนหลายๆบริษัท คือต่างชาติถอนเงินไป เพราะฉะนั้นก็เกิดอาการPanic เพราะฉะนั้นนักลงทุนก็จะอยู่ในช่วง wait & see ไปก่อน แต่เราเชื่อว่าถ้าทางบริษัทประกาศงบของไตรมาสที่ 2 ออกมา ถ้ามีข่าวดีก็จะสามารถที่จะทำให้ราคาหุ้นของ TMILL ปรับตัวขึ้นมาได้" นายชาญกฤช กล่าว
TMILL