**เติบโตไปตามโครงการก่อสร้างพื้นฐาน**

ปรับโครงสร้างโดยตั้งบริษัท Holdings (STECON Group) โดยจะให้ผู้ถือหุ้นนำหุ้น STEC มาแลกเป็น STECON Group ในอัตรา 1 : 1 ปัจจุบันอยู่ในช่วงยื่นไฟลิ่งกับก.ล.ต. คาดว่าจะนำ STECON Group เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน 3Q24 และการดีลแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 24 การปรับเป็นบริษัท Holdings ก็เพื่อขายการลงทุนไปในธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ 1) ธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ ซึ่งคาดว่าจะเซ็นสัญญาใน 3Q24 เริ่มก่อสร้างปี 25 และเริ่มรับรู้รายได้ปี 26, 2) ธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยเมื่อ 17 พ.ค.24 เซ็น MOU กับ BGRIM เพื่อทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, 3) ธุรกิจบำบัดน้ำ เน้นทั้งภาคเอกชนและภาครรัฐ

ผู้บริหารยังคงเป้าหมายรายได้ปี 24 ไว้ที่ 31 พันล้านบาท (จากปี 23 ที่ 29.5 พันล้านบาท) ส่วน GPM น่าจะกว่า 5% ในประมาณการเราให้ 5.2% เพิ่มขึ้นจาก 4.3% ในปี 23 เพราะรับรู้รายได้จากโครงการภาคเอกชนมากขึ้น (ซึ่งงานเอกชนมี GPM สูงกว่างานรัฐราว 2-3%)

มีหลายโครงการที่จะเปิดประมูลในปี 24 มูลค่ารวมราว 340.9 พันล้านบาท ได้แก่ รถไฟรางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย, มอเตอร์เวย์ M5, M9 และ M11, ทางด่วน กระทู้-ป่าตอง, รถไฟฟ้าแดงเข้ม, สนามบินสุวรรณภูมิส่วนขยายด้านตะวันออก

Backlog สูงที่ 96.2 พันล้านบาทในสิ้น 1Q24 (รวมโครงการอู่ตะเภาที่ยังไม่เซ็นสัญญามูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะรับรู้รายได้ไปใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้า Backlog เพิ่มอีก 4-5 หมื่นล้านบาทภายในสิ้นปี 24

โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูฉุดผลประกอบการ โดย STEC ถือหุ้น 15% ในรถไฟฟ้าทั้งสองสายนี้ ซึ่งคาดว่าในปี 24-25 บริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนเข้ามา 450 ล้านบาท และ 300 ล้านบาท ตามลำดับ

คาดกำไรสุทธิ 2Q24 เติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ หนุนโดย GPM ที่ดีขึ้นจากรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 5 แห่ง และมีปันผลรับจาก GULF ประมาณ 190 ล้านบาท

ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 24F-25F ลง 26%/42% สะท้อนผลขาดทุนจากบ.ร่วม (รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู) ที่มากขึ้น

คงคำแนะนำซื้อให้ราคาพื้นฐาน 12.30 บาท โดยอิงกับ P/BV ปีนี้ที่ 1.02 เท่า (Mean-0.5SD)

นักวิเคราะห์ : ศศิกานต์ อุดมเวศย์ : sasikarnu@th.dbs.com : Tel. 02 857 7833