SET พักตามกรอบ 1350-1365
กลยุทธ์เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ
Market Strategy
SET Index คาดพักตัวตามกรอบ 1350-1365 จุด แรงกดดันจากการรายงานตัวเลข GDP1Q67 เบื้องต้นของสหรัฐฯ ที่ขยายตัว 1.6%QoQ ต่ำกว่าตลาดคาด 2.5%QoQ สวนทางรายงาน Core PCE 1Q67 ขยายตัว 3.7%YoY มากกว่าตลาดคาด 3.4%YoY ส่งผลให้ FEDWATCH Tool คาดการลดดอกเบี้ยปีนี้ 1 ครั้งเดือน ก.ย. แต่โอกาสลดลงมาที่44% (ใกล้เคียงโอกาสคงดอกเบี้ยฯ 42%) และนักลงทุนเริ่มกังวลภาวะ Stagflation หากดอกเบี้ยฯยังคงสูงนาน กดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงช่วง -0.6% ถึง -1%  ขณะที่ U.S. Bond Yield 2 ปรับขึ้นมาแตะ 5% และ 10 ปีปรับขึ้นทำจุดสูงสุดของปีที่ 4.7% มองสภาพแวดล้อมข้างต้นสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นภูมิภาคและบ้านเรา แต่อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่า SET Index จะไม่ลงแรงเท่าจากผลตอบแทนตลาดหุ้นบ้านเรา -3.6%YTD Laggard ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ S&P500 ปรับขึ้น +5.8%YTD อยู่มาก
สมาคมธนาคารไทยประกาศลดดอกเบี้ยฯ MRR ลง 0.25% กับกลุ่มเปราะบางทั้งบุคคลและ SME ระยะเวลา 6 เดือน เราประเมินผลกระทบต่อกำไรของ ธ.พ. ยังจำกัด (คาดไม่เกิน 1%) ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสรีบาวน์หลังประเด็น Overhang ของกลุ่มหมดไป ส่วนอีกประเด็น ตลท. เผย 14 มาตรการฟื้นความเชื่อมั่น    นักลงทุน โดยหนึ่งในมาตรการที่น่าสนใจอย่างมากคือการเพิ่มใช้เกณฑ์ Uptick Rule กับการ Short Sell ในทุกหลักทรัพย์ (เริ่มใช้ปลาย 2Q67) ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดแรงกดดันจาก Short Sell ได้เป็นอย่างดี กลยุทธ์วันนี้แนะนำ KTB และ BCH

Market Summary
SET Index ปรับขึ้น 3.17 จุดหรือ 0.23% หนุนจากกลุ่ม ร.พ. นำโดย BH +9.52%  จากการรายงานงบ 1Q67 ดีกว่าตลาดคาด ตามด้วยกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ +1% กลุ่มอาหาร +0.9% หนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่วนกลุ่มที่ปรับลงคือกลุ่มบรรจุภัณฑ์จากแรงขายทำกำไรของ SCGP-1.6% นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านบาท

ATO Daily Stock Picks
แนะนำ BCH KTB
BCH
Growth ยืนเด่นสุดในกลุ่ม
BCH เป็นหุ้นที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ร.พ. โดย Consensus คาดการณ์กำไร  เติบโตปีนี้ที่ 27%YoY โดยแรงขับเคลื่อนมาจากผู้ป่วยต่างชาติกลุ่ม CLMV,ผู้ป่วยประกันสังคมที่ปีนี้คาดเพิ่มขึ้น 40,000 ราย และ Intensity ค่ารักษาโรคที่เพิ่มสูงขึ้น
กำไร 1Q67E มีแนวโน้มเติบโต YoY หนุนจากรายได้ทั้งผู้ป่วยในและต่างประเทศที่เร่งตัวขึ้นตามการเปิดประเทศ แต่ลดลง QoQ จากรายได้กลุ่มผู้ป่วยตะวันออกกลางที่ลดลงจากการเข้าสู่เทศกาลรอมฎอนรวม (ระหว่าง 11 มี.ค. – 9 เม.ย.)ถึงค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นจากฐานที่ต่ำ 4Q66 ในเชิง Valuation ซื้อขาย PER67E ที่ 29.9 เท่าสูงกว่ากลุ่มที่ 28.6% แต่ด้วยกำไรที่เติบโต 27%YoY เด่นกว่ากลุ่มที่เติบโต 11%YoY จึงมองสมเหตุสมผล ขณะที่ระยะสั้นจะได้ Sentiment จากนักลงทุนจะมองหาหุ้น Defensive Growth เพื่อเลี่ยงความผันผวนจากปัจจัยไม่แน่นอนภายนอกทั้งดอกเบี้ยฯ และสงคราม
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 22.30 บาท

KTB
จังหวะสะสม...บนความกังวลที่มากเกินไป
KTB เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มธนาคาร จากพอร์ตสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ คุณภาพสินทรัพย์ที่มั่นคงและมีการตั้งสำรองต่อสินเชื่อในระดับสูง ขณะที่ในมุม Valuation ซื้อขายที่ PBV67E ต่ำเพียง 0.5 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 0.6 เท่าและให้ Dividend Yield สูงที่ 6% ต่อปี
ราคาหุ้นอ่อนตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมาจากความกังวลต่อมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้หลังผู้บริการกลุ่มธนาคารหารือกับนายกฯ ซึ่งสมาคมธนาคารประกาศลดดอกเบี้ยฯ MRR ลง 0.25% กับกลุ่มเปราะบางทั้งบุคคลและ SME ระยะเวลา 6 เดือน
เราเชื่อว่าผลกระทบต่อกำไรจะไม่ถึง 1% บนสมมติการลดดอกเบี้ยฯ MRR 0.25%สำหรับ 20% ของสินเชื่อกลุ่มลูกค้า SME และสินเชื่อบ้านซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 30% ของพอร์ตรวม ต่ำกว่ากลุ่มฯที่ 37% ราคาหุ้นที่ปรับลงถือเป็นจังหวะสะสมลงทุนรอบใหม่
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์  21.00 บาท

นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ