PROPERTY : คณะรัฐมนตรีเปิดตัวแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมเพื่อผลักดันภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย

คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติมาตรการสำคัญ 5 ประการ เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ มาตรการเหล่านี้มุ่งเน้นที่จะทำให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้นในทุกระดับรายได้ ส่งเสริมภาคการก่อสร้าง สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม และวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ

เรามีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะล่าสุด หลังจากคาดการณ์ถึงมาตรการเหล่านี้ เราจึงได้ปรับมุมมองต่อภาคธุรกิจนี้จากน้ำหนักต่ำกว่าเป็นกลางในเดือนมีนาคม ภายหลังการเปิดเผยผลประกอบการปี 2023 แม้ว่ามาตรการที่ประกาศจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจโดยรวม แต่เรายังคงให้น้ำหนักกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ประเภทโครงการ low-rise เนื่องจากมี backlogs รอดำเนินการที่แข็งแกร่งและมูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูด จากข้อมูลปัจจุบัน หุ้นที่เราแนะนำสูงสุดยังคงเป็น AP, SIRI และ LH ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ AP, SIRI และ LH โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 14.40, 2.20 และ 8.10 บาท

มี 5 มาตรการ มีดังนี้
1. การลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม : ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยค่าธรรมเนียมการโอนจะลดลงจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และค่าธรรมเนียมสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงจาก 1% เป็น 0.01% มาตรการที่ประกาศใช้มีขอบเขตกว้างขึ้น เนื่องจากปัจจุบันการลดหย่อนค่าธรรมเนียมเหล่านี้จำกัดเฉพาะหน่วยที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทเท่านั้น มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่กฎหมายได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2024 ซึ่งน่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่ เนื่องจากส่วนใหญ่มีโครงการในระดับราคากลาง

2. การหักลดหย่อนภาษีสำหรับการก่อสร้างบ้านด้วยตนเอง : บุคคลที่ก่อสร้างบ้านของตนเองสามารถขอหักลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง โดยผู้เสียภาษีสามารถหักค่าใช้จ่ายการก่อสร้างได้ 10,000 บาทต่อทุก 1 ล้านบาท ของค่าใช้จ่าย สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แม้ว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรง แต่นโยบายนี้จะช่วยเหลือบริษัทก่อสร้างในประเทศ ส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก และเศรษฐกิจในท้องถิ่น ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมดีขึ้น

3. โครงการ "ชีวิตมั่นคง" โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) : เป็นโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยสำหรับพลเมืองไทย โครงการนี้เสนออัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ (เฉลี่ย 2.98% สำหรับ 3 ปีแรก) และวงเงินกู้เริ่มต้นที่ 2.5 ล้านบาท สนับสนุนวัตถุประสงค์การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้านมือสอง การก่อสร้างใหม่ การปรับปรุงต่อเติม หรือการรีไฟแนนซ์ โปรดทราบว่าโครงการนี้ไม่ครอบคลุมถึงบ้านจัดสรรของผู้ประกอบการ และมีวงเงินจำกัดตามงบประมาณที่กำหนดไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นผลบวกโดยรวม

4. โครงการ Happy Home พร้อมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ : ธอส. นำเสนอสินเชื่อคงที่ดอกเบี้ยต่ำ (3% เป็นเวลา 5 ปี) สำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท โปรแกรมนี้ควรสนับสนุนกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับ low-end ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุนของ LPN และ PSH อย่างไรก็ตาม pool มีขนาดค่อนข้างเล็กที่ 2 หมื่นล้านบาท และต้องแชร์กับผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้น ผลกระทบอาจมีจำกัดบ้าง

5. ขยายโครงการที่อยู่อาศัยของ BOI : โครงการที่อยู่อาศัยของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำหรับผู้มีรายได้น้อย ผู้ซื้อที่มีรายได้ตอนนี้ครอบคลุมบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท โครงการนี้ยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมุ่งเน้นไปที่กลุ่มตลาดนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอุปทานเพื่อตอบสนองความต้องการบ้านราคาประหยัดที่เพิ่มขึ้น การปฏิเสธถือเป็นข้อกังวลหลักสำหรับกลุ่มนี้ และเราเห็นประโยชน์ที่จำกัดจากนโยบายดังกล่าวสำหรับผู้ประกอบการภายใต้หุ้นที่เราวิเคราะห์

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีกำลังสำรวจมาตรการดึงดูดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศซึ่งสามารถกระตุ้นตลาด และนำเงินทุนเข้าสู่เศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมได้ โดยนโยบายเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยมีความน่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับเจ้าของทรัพย์สินทั้งในและต่างประเทศ