อุ่นใจ แต่อย่าเพิ่ง วางใจ
การปรับขึ้นแรงของ SET Indexวานนี้มองว่าเป็นเพราะแรงผลักจาก 3 ส่วน ได้แก่การดีดตัวขึ้นของตลาดในภูมิภาค, Valuation ของตลาดบ้านเราที่ถูก (อ่านในMarket Talk ฉบับเมื่อวาน) และ แรงเสริมจากผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องการถือหุ้นสื่อฯ อย่างไรก็ตามยังเห็นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อ ขณะที่มุมมองเศรษฐกิจไทยก็ยังอาจกลับมาเป็นแรงกดดัน ได้อีกในระยะต่อไป สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามต่อมี 2 ส่วนหลักคือ ประเด็นทางการเมืองที่ในสัปดาห์หน้า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยกรณีพรรคก้าวไกล ใช้เรื่องการแก้ไข ม.112 ในการหาเสียง และ แนวนโยบายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมนอกเหนือจาก Digital Walletซึ่งในมุมของฝ่ายวิจัยเห็นว่าจุดที่กระตุ้นได้น่าจะมี 2 ส่วน คือ การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาครัฐบาล ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไปการปรับตัวขึ้นมาแรงของ SET Index วานนี้น่าจะทำให้รู้สึกอุ่นใจระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ควรวางใจเนื่องจากยังมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม วันนี้คาด SET Index อยู่ในกรอบ 1372 –1390 จุด หุ้น Top Pick เลือก CPALL, INTUCH และ SCGP
ปัจจัยแวดล้อมดูผ่อนคลายขึ้น
วานนี้ตลาดหุ้นโลกขยับขึ้นได้ดี โดยเฉพาะดัชนี HSI ดีดตัวขึ้นแรงราว 3.6% ขณะที่ดัชนี NASDAQ ยังคงพุ่ง All Time High หลังเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มดูดีขึ้นในหลายประเทศ อาทิ
• จีน : PBOC เตรียมปรับสัดส่วนการกันสำรองของธ.พ. (RRR) จาก 10.5%ลดลงเหลือ 10% ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. 67เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นการดำเนินการครั้งใหญ่สุดในรอบ 2 ปีเพื่อนำเงินบางส่วนที่ถูกกันไว้ก่อนหน้านี้เข้าสู่ระบบเพื่อส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ ทางการจีนยังออกมาจอให้กองทุน Hedge Funds หยุดการ Short Sell ในตลาดฟิวเจอร์หลังตลาดหุ้นดิ่งหนัก
• สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของสรัฐฯ เดือน ม.ค. 67 อยู่ที่ 50.3ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน และกลับมายืนเหนือ 50 จุดได้อีกครั้ง สะท้อนภาคการผลิตขยายตัว โดยมีปัจจัยหนุนหลักมาคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานเพิ่มขึ้น ท่ามกลางดอกเบี้ยสูง ทำให้ความกังวลเศรษฐกิจRecession มีแนวโน้มเบาลง และอาจเป็นแบบ Soft Landing
สัญญาณทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มดีขึ้น น่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้มากขึ้นในปีนี้ และช่วยลดโอกาสการเกิดเศรษฐกิจRecession ที่รุนแรงขึ้นได้
หากพิจารณาโอกาสเกิดเศรษฐกิจ Recession ในอีก 1 ปีข้างหน้าของ Bloomberg
ล่าสุดมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐยุโรป ในช่วงปลายเดือน มี.ค. 66 โดยล่าสุดโอกาสเกิดเศรษฐกิจ Recession ในสหรัฐปรับตัวลดลงเหลือ 50% ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อาทิ ไทย จีน ฯลฯ มีโอกาสเกิดเศรษฐกิจ Recession ค่อนข้างต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
สรุป เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ที่มีสัญญาณดูดีขึ้น อาทิ การอัดมาตรการปรับลด RRR กระตุ้นเศรษฐกิจของจีน รวมถึงภาคการผลิตของสรัฐฯ ที่เริ่มเห็นการขยายตัวในต้นปี ฯลฯ น่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้มากขึ้นในปีนี้ และช่วยลดโอกาสการเกิดเศรษฐกิจ Recession ที่รุนแรงขึ้นได้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ใช่แค่Digital walletแม้ว่าสัญญาณของการเกิดนโยบาย Digital Wallet จะแผ่วลงไป กล่าวคือ มีโอกาสสูงที่นโยบายดังกล่าว จะเกิดไม่ทันตามกรอบไทม์ไลน์เดิม คือ ช่วง พ.ค.67 อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรียังเชื่อมั่นว่านโยบายดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นจริงได้ ตัวเลข GDPที่กระทรวงการคลังนำเสนอ ซึ่งประเมินว่า GDP ของไทยในปี 2566 เติบโตเพียง1.8% และปี 2567 ที่ 2.8% เห็นว่า ต้องมีมาตรการกระตุ้นนอกเหนือจาก Digitalwallet ซึงประเมินจากโครงสร้าง GDP แล้ว เห็นว่า ส่วนที่รัฐสามารถมีมาตรการออกมากระตุ้นได้ก็จะมีอยู่ในภาค Consumptionและ การลงทุนภาครัฐในมุมของฝ่ายวิจัยฯ หากมีนโยบายกระตุ้นที่มากพอ คาดสร้างความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากช่วงต้นปีมีมาตรการ Easy E-Receipt ก็น่าจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้อง เช่น
• กลุ่มท่องเที่ยว : CENTEL, ERW, MINT
• กลุ่มอุปโภค/บริโภค : CPN, CPAXT, HMPRO, ADVANC, COM7, CRCCPALL, BJC, CBG, OSP, JMART, COM7, DCC, M, AU, SCGP
• กลุ่มคาดหวังเศรษฐกิจฟื้น : KBANK, BBL, TISCO, TIDLOR, MTC,
SAWAD, KTC, AEONTS, BAM
สรุป แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่ชัดเจน แต่นายกฯเกรินว่าระยะถัดไปจะมีมาตรการกระตุ้นมากมาย ทั้ง Digital wallet และ อื่นๆ คาดหนุนให้ GDP Growth ปีนี้จะโตราว 3.0%-3.5% และหากสามารถทำได้จริง คาดเป็นตัวพยุงให้ SET Index ไม่ปรับฐานแรงดังเช่นช่วงที่ผ่านมา โดยวันนี้คาดกรอบ SET Index 1371-1390 จุดค้นหาหุ้นแนวโน้มกำไร 1Q67 ฟื้นเด่น มีโอกาสเด้งแรงฝ่ายวิจัยฯ เคยทำการศึกษา ในภาพระยะยาวการเคลื่อนไหวราคาหุ้นมีทิศทางที่สอดคล้องกันกับแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน คือ ถ้ากำไรผ่านจุดต่ำสุด หรือกำไรทยอยฟื้น ราคาหุ้นก็มักจะปรับขึ้นเด่นในระยะถัดไปเช่นกัน
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา “หุ้นแนวโน้มกำไร 1Q67 ฟื้น น่าสะสม” โดยการสอบถามมุมมองกับทางนักวิเคราะห์พื้นฐาน และสามารถแบ่งกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจออกเป็น 2 ชุด คือ
1. หุ้นกำไร 4Q67 ปรับตัวลงเยอะๆ แต่ 1Q ฟื้น QoQ คือ SCC, ITD, IRPC,PSH, KKP, SIRI, KTB, EA, CPN, AP, BBL, BEM, GUNKUL, CK,KBANK,TOP เป็นต้น
2. หุ้นที่คาดกำไร 1Q67 ฟื้น ทั้ง QoQ และ YoY พร้อมกับคำแนะนำOutperform คือ KTB, KBANK, BBL, SCCC, CK, GULF, INTUCH,CPN, SJWD, AOT, BEM เป็นต้น
RESEARCH DIVISION
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์