Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KCS Daily Strategy

322


" Stimulus Package Play"

 

KCS Daily Strategy : คาด SET ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว แม้ประเมินวันนี้ "Sideways" ต้าน 1438/1442 จุด รับ 1422/1413 จุด หลังตลาดหุ้นสหรัฐพักฐาน หลังขึ้นมาไวในช่วงปลายปี ขณะที่ Fed Minute วานนี้เป็นไปตามคาด ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุด แต่คงมุมมองการปรับลดดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องเศรษฐกิจล่าสุดที่ค่อยๆชะลอลง ล่าสุด ตำแหน่งงานเปิดใหม่ พ.ย. 23 ต่ำสุดตั้งแต่ มี.ค. 21 แต่ PMI ภาคผลิต (ISM) ธ.ค. 23 ดีกว่าคาด เพิ่มสู่ 47.4 จุด prev. 46.7 ทำให้ US Bond Yield สหรัฐฯอายุ 10 ปีที่เมื่อวานปรับขึ้นไปทดสอบ 4% ถูกซื้อกลับลงมาอยู่ที่ 3.91% ส่วนภายใน กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติ Mega Project ในเดือนนี้ มูลค่า 1.33 แสนล้านบาท หนุนเศรษฐกิจไทยระยะกลางฟื้นตัว ผสานแนวโม้มการท่องเที่ยว และภาคบริโภคที่สดใส คาดกลุ่มรับเหมา กลุ่มได้ประโยชน์มาตรการรัฐฯ และ Yield พีค "Outperform" วันนี้แนะนำ HMPRO, MINT, MTC เด่น

 

Daily outlook : "Sideways" ต้าน 1438/1442 จุด รับ 1422/1413 จุด

What happened around the world ?

• (*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงต่อรับ Fed Minutes และคณะกรรมการ Fed Dow jones -0.76%, S&P500 -0.80%, Nasdaq -1.18% โดยดัชนี S&P500 กลุ่มที่นำตลาดคือ Energy, Utilities กลุ่มที่ปรับลงคือ Realestate, Consumer discretionary ฯลฯ

•(*/+) US GDP : Fed สาขา Atlanta เผยแบบจำลองGDP Now สหรัฐงวด 4Q23F +2.5%q-q (vs รอบต้นปีคาด 2.1%) แต่ชะลอจาก 3Q23 ที่ +4.9%q-q

• (*) US Econ : 1)Job Opening เดือน พ.ย. ปรับลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 8.79 ล้านหลัง ต่ำสุดตั้งแต่ มี.ค.2021 หลักๆ ลดลงมาจาก การจ้างงานภาคขนส่ง และ Warehousing และกลุ่ม Utilities (-1.28 แสนราย) และ หมวดบริการพักผ่อนและการต้อนรับ(-9.7 หมื่นราย) 2)ISM PMI ภาคการผลิตเดือน ธ.ค. ฟื้นตัวอีกครั้งที่ 47.4 จุด ดีกว่าตลาดคาดที่ 47.1 จุด

• (*) Fed Minutes : Key คือ คณะกรรมการ Fed ส่วนใหญ่มอง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ผ่านจุด Peak โทนการลดดอกเบี้ยจะค่อยเป็นค่อยไปขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐหลังจากนี้ KCS ประเมินว่าทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจไม่มากเหมือนที่ตลาดคาดการณ์จะเห็นการลด 6 ครั้งๆละ 25 bps VS. MUFG คาดจะลดดอกเบี้ยฯ 3 ครั้งๆ ละ 25 bp คือ รอบ มิ.ย., ก.ย.และ ธ.ค.24 ทำให้ดอกเบี้ยฯปลายปี 2024 อยู่ที่ 4.5-4.75%,

• (*) Fed Speaks : คุณ Thomas Barkin ประธาน Fed สาขา Richmond (Non Voter) เผยว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐยังคง "อยู่บนโต๊ะการเจรจา"

• (*) To monitors : ฝั่งจีน 4 ม.ค. Caixin PMI ภาคการบริการ ธ.ค. ตลาดคาด 51.6 จุด prev. 51.5 จุด . 5 ม.ค. ยอดคำสั่งซื้อโรงงาน พ.ย. ตลาดคาด +2%m-m vs prev -3.6%m-m

• (*) US Bond & Dollar : Bond yields ระยะสั้นผันผวน ขาลง โดยอายุ 10 ปีเมื่อวานปรับขึ้นแรงขึ้นไปทดสอบ 4% แต่ไม่ผ่านและถูกซื้อกลับ -3 bps อยู่ที่ 3.91% ส่วน 2 ปีปิดทรงตัวที่ 4.32% ขณะที่ Dollar Index แข็งค่าต่อขึ้นมาบริเวณ 102.1+/- จุด แต่แนวโน้มระยะยาวยังมีทิศทางอ่อนค่า

• (*/-) Bitcoin : ราคา Bitcoin พลิกลงแรง -4.85% ปิดที่ 42938.07 USD แรงกดดันจากตลาดกลับมากังวล กลต.สหรัฐจะไม่สามารถอนุมัติ Bitcoin Etf ทันภายในปี 2024 (เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม)มองเป็นจิตวิทยาลบในวันนี้ต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto currency อาทิ XPG ,ZIGA, BROOK, TTA แนะนำเพียง Trading

• (*/-) Oil : น้ำมันดิบ Brent +3.37%d-d ปิดที่ US$ 78.45/barrel น้ำมันดิบ West Texas +3.30%d-d ปิดที่ US$ 72.7/barrel แรงหนุนหลักมาจากฝั่ง Supply คือ 1.)สถานการร์การสู้รบในทะเลแดงตึงเครียด ล่าสุด อิหร่านส่งเรือรบอัลบอร์ซเข้าสู่ทะเลแดง หลังจากที่กองทัพเรือสหรัฐได้ทำลายเรือ 3 ลำของกลุ่มกบฏฮูตี (อิหร่านสนับสนุน) 2.) ข่าว Rueters เผยลิเบียได้ลดการผลิตน้ำมันบางส่วนในบ่อน้ำมันชารารา เนื่องจากประสบปัญหาการประท้วงของคนงาน เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP มองเป็นการ Trading

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET Index ปรับลง -3.76 จุด -0.26%d-d ปิด 1429.62 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) มองเก็งกำไรงบ ADVAC งวด 4Q23 คาด +17%y-y, flat q-q + เงินปันผลจ่าย 2H23F ที่ประเมิน 4.0-4.5 บาท ส่วน INTUCH มองเก็งกำไรในฐานะบ.แม่ ADVANC และการกลับมาถูกเพิ่มน้ำหนักหลังไม่หลุด SET50 กลุ่มอสีงหา (AWC) รับประเด็นบวกจีนฟรีวีซ่าให้กับไทย กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP) มองถูกลดน้ำหนักตามมุมมองราคาน้ำมันปี 2024F ทรงตัว กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA) จากจิตวิทยาลบ US Bond Yield รีบาวน์ถ่วงหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศ

• (+) Flow : เงินทุนต่างชาติไหลเข้า ขายหุ้น -26.2 ล้านเหรียญฯ, ซื้อพันธบัตร +304.4 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short ที่ -15,955 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยสู่ 34.4 +/- บาท

• (*/+)To monitors : 5 ม.ค. ติดตามเงินเฟ้อCPI ไทยเดือน ธ.ค. 23 ตลาดคาด -0.35%y-y vs prev. -0.44%y-y ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน ตลาดคาด+0.6%y-y vs prev. +0.58%y-y KCS ประเมินเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ยังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวที่ 2.5% ตลอดทั้งปี 2024 หรือมี Downside

• (*/+) Infrastructure : รมว. กระทรวงคมนาคม เตรียมนำเสนอโครงการลงทุนคมนาคม 7 โครงการขนาดใหญ่ (หลักๆ คือ รถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงรังสิต – ม.ธรรมศาสตร์, รถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา, โครงการก่อสร้างอาคารส่วนต่อขยายผู้โดยสารหลัก ทิศตะวันออกสนามบินสุวรรณภูมิ, โครงการทางด่วนสายกะทู้ ป่าตอง จ.ภูเก็ต, มอเตอร์เวย์รังสิต – บางปะอิน, ทางหลวงวงแหวนรอบนอกตะวันตก บางขุนเทียน - บางบัวมอง) รวมวงเงิน 1.33 แสนล้านบาท แก่ ครม. ภายในเดือน ม.ค. นี้ ประเมินบวกต่อ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเน้น STEC(TP@12.0), CK(TP@28.0) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA(TP@30.0), WHA(TP@6.4)

• (*/+) Utilities : คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สั่งแก้ไข โดยโยกก๊าซธรรมชาติที่ได้จากอ่าวไทยป้อนการผลิตแอลพีจีให้ประชาชนใช้หุงต้มดำรงชีวิตในราคาถูกที่สุดประมาณ 219 บาทต่อล้านบีทียู และให้ก๊าซที่เหลือป้อนการผลิตปิโตรเคมี เป็นราคาพูลก๊าซ ประมาณ 362 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนลดลงถาวรประมาณ 11.50 สตางค์ต่อหน่วย มองบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GPSC ลบต่อกลุ่มปิโตรเคมีที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น PTTGC, PTT

• (*) Bank & Finance: BOT ประกาศ ห้ามแบงก์-นอนแบงก์ ผู้ให้บริการภายใต้กำกับ ห้ามดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ ปิดหนี้ก่อนกำหนด สำหรับสินเชื่อรายย่อย-สินเชื่อรถมีทะเบียนเป็นประกัน หวังดูแลผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม พร้อมหนุนผู้ประกอบการแข่งขันเป็นธรรมมากขึ้น มองเป็นกลางต่อกลุ่ม โดยประเด็นดังกล่าว BOT ห้ามเรียกเก็บมานานแล้ว และผู้ประกอบการไม่มีการเรียกเก็บอยู่แล้วในปัจจุบัน

 

Daily Strategy : HMPRO, MINT, MTC

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways" มอง SET วันนี้แกว่งตัว จิตวิทยาลงทุนต่างประเทศเป็นลบ ตลาดหุ้นสหรัฐฯถูกขายทำกำไรที่ปรับขึ้นมาเร็ว ขณะที่ภายในวันนี้ไม่มีแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจน นอกจากภาพกระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติ Mega Project 1.33 แสนล้านบาทหนุนเศรษฐกิจระยะกลางต่อยอดภาพบวกท่องเที่ยว บริโภคที่หนุนระยะสั้น มองหุ้นนำ 1) กลุ่มได้ประโยชน์มาตรการรัฐฯ (รับเหมา ท่องเที่ยว บริโภค) 2) กลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค (เช่าซื้อ ชิ้นส่วน) ที่ลุ้นฟื้นตัว หลัง US Bond Yield อายุ 10ปี ที่รีบาวน์ขึ้นมาไม่ผ่านแนวต้านและพักตัวลง

 

หุ้นได้รับประโยชน์มาตรการฟรี วีซ่าจีน รัสเซีย ไต้หวัน อินเดีย (CPALL, CPAXT, ERW, ADVANC, ERW, CRC)
หุ้นกลุ่มเก็งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ Digital Wallet+E-Refund, เร่ง FDI และ สร้าง S Curve จาก Soft Power (CPALL, CPAXT, HMPRO, DOHOME, GLOBAL, ADVANC, WHA, AMATA, MAJOR)
หุ้น China Plays ที่เริ่มเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแรงขึ้นและเริ่มเห็นการฟื้นตัวภายใน (PTTGC, IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, ERW)
หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกเริ่มฟื้น และพอประคองได้ (KCE, IVL, SCGP, PTTGC, SJWD, MENA, WICE)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC ,SAWAD, JMT, CPALL, TRUE, MINT, ERW, CK, BGRIM)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์น้ำมันแกว่ง 75-80 เหรียญฯ ภายใต้ภาพความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มโตแผ่ว จีนค่อยๆฟื้นตัว ขณะที่การคุมซัพพลายต่อเนื่อง (CPALL, CPAXT, SCGP, GULF, IVL)
• JAN24 Best Picks: CPALL, HMPRO, GPSC, IVL, MINT, MTC, SIRI

• 1Q24/2024 Stock Picks : GPSC, MTC, IVL, PTTGC, CPALL, AOT, AMATA, SCGP, SCC, MINT Mid-Small Cap Play : SJWD, DOHOME, BE8, SPA, PLANB

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update: KCS คาด ม.ค. 24 มีโอกาสเกิดปรากฎการณ์ January Effect หนุน SET ให้ผลตอบแทนทางบวก 7 จาก 10 ปีย้อนหลังจากการซื้อและถือหุ้นเดือน ม.ค. โดย SET, SET50 และ MAI ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.28%, +1.1% และ +2.59% ตามลำดับ มอง 3 เหตุผลหลัก 1) ช่วงเดือน ธ.ค. 23 เม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติขาย SET สูงถึง -4.17 พันล้านบาท และทั้งปี 2023 มากถึง -1.964 แสนล้านบาท (vs ส่วนที่ซื้อในปี 2022 ที่ +2.0 แสนล้านบาท) 2) ความคาดหวังเชิงบวกในช่วงต้นปีต่อเศรษฐกิจไทยปี 2024 ที่จะกลับมาเติบโต > ศักยภาพ 3.0% กำไรตลาดปี 2024F +15.5%y-y ทั้งนี้ ในส่วนเม็ดเงินกองทุน LTF ปี 2017 แม้ประเมินมีส่วนที่ครบกำหนดขายได้โดยไม่เสียภาษีราว 1.0 หมื่นล้านบาท แต่มองกรอบ SET ช่วงปี 2017 ที่ 1527-1764 จุด สูงกว่าระดับปัจจุบัน เชื่อว่าจะมีแรงขายจำกัด

กลยุทธ์ ให้เน้นหุ้นในอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ม.ค. > SET คือ กลุ่มเกษตร TU กลุ่มเช่าซื้อ MTC, JMT กลุ่มธนาคาร KBANK กลุ่มสื่อสาร INTUCH, INSET กลุ่มขนส่ง AOT ส่วน MAI เรามองควรเน้นกลุ่มที่คาดหวังกำไรปี 2024F เติบโตสูง GFC (2024F EPS Growth +46%), BBIK(+40%), BE8(+38%), YGG(+33%),WARRIX(+26%), KLINIQ(+16%)

• Strategy Update: KCS พิจารณาความเป็นไปได้ถึงความเสี่ยง Black Swans ในปี 2024 คือความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำแต่หากเกิดแล้วจะมีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั้งบวกและลบ

1) ความเสี่ยงทางลบ

• Cyber-attacks with AI (-): AI ที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะการใช้ AI ในสาย Generative AI ฝ่าย KCS เชื่อว่ามีโอกาสเห็นการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการพัฒนาระบบการจารกรรมข้อมูลโดยประเทศคู่ขัดแย้ง

• Weather Disasters (-):ข้อมูลของสหประชาติ ปี 2023 โลกมีระดับอุณหภูมิสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์จากภาวะโลกร้อน สภาวะดังกล่าวมีโอกาสก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติได้บ่อยครั้งขึ้น

2) ความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม

• Taiwan (*):จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน ม.ค.24 ซึ่งผลการเลือกตั้งจะกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไต้หวันกับจีนและสหรัฐ เชื่อว่าหากฝ่ายที่สนับสนุนจีนสามารถรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลได้จะสร้างผลเชิงบวกต่อภาพตลาดการเงินโลก แต่หากฝั่งต่อต้านจีนครองเสียงข้างมากต้องติดตามแนวนโยบายว่ามีโอกาสข้ามเส้นที่จีนขีดไว้ ?

• Inflation to Deflation (*): เงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลงในปี 2023 จากการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว นำโดยสหรัฐ, ยุโรป ส่งผลให้วงจรดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นเข้าสู่ปลายทางแล้วในช่วง 4Q23 อย่างไรก็ตามนับจากนี้ไป Fed จะเป็นตัวกำหนดภาพเงินเฟ้อปีหน้า หากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้าเกินไปและเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าหรือชะลอลง มีโอกาสที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะประสบภาวะเงินฝืด ขณะที่หากผ่อนคลายเร็วเกินไป มีความเสี่ยงทำให้เกิดภาพเงินเฟ้อลดลงสู่กรอบเป้าหมายธนาคารกลางต่างๆ ช้ากว่าความคาดหวัง จะส่งผลต่อภาพความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยง เศรษฐกิจระยะกลางจะมีความเสี่ยง จากวงจรดอกเบี้ยเข้มงวดอีกรอบ

• U.S. Election (*): การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2024 มีโอกาสสร้างความเสี่ยง เนื่องจากผลการเลือกตั้งเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดหลายปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลก ทั้ง 1) แนวทางนโยบายการคลัง/การเงินสหรัฐ 2) ทิศทางความสัมพันธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีน 3) แนวทางของสหรัฐในการแทรกแทรงความขัดแย้งของคู่ขัดแย้งสำคัญของโลก อาทิ รัสเซีย/ยูเครน, อิสราเอล/กลุ่มฮามาส

3) ความเสี่ยงที่จะสร้าง Upside Risk ต่อสินทรัพย์เสี่ยง

• India/China Global Recovery (+): จีนประสบปัญหาเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาดประกอบกับปัญหาเงินฝืดในปี 2023 ต่างจากประเทศเศรษฐกิจใหญ่อื่นที่เป็นภาพฟื้นตัวและประสบกับปัญหาเงินเฟ้อ ในขณะที่อินเดียเป็นประเทศที่เติบโตเร็วและเงินเฟ้อสูงแต่โครงสร้างเศรษฐกิจยังค่อนข้างเปราะบาง ฝ่ายวิจัยมองว่าหากจีนและอินเดียสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์จะสะท้อนภาพเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก

 

〽️Strategy : KCS มองภาพเศรษฐกิจโลกและตลาดเงินโลกเป็นเชิงบวกในปี 2024 จากเงินเฟ้อที่ชะลอลง ประกอบกับวงจรนโยบายดอกเบี้ยที่จะกลับเป็นขาลง และเศรษฐกิจจีนที่เชื่อว่าเร่งฟื้นตัว หลังจากหลากหลายสัญญาณทยอยปรากฎเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม มีหลากหลายปัจจัยที่อาจเป็น Black Swans และส่งผลกระทบที่ตลาดไม่คาดคิดต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินได้ จึงเป็นที่มาที่ทีมกลยุทธ์ KCS รวบรวมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ดังกล่าวเพิ่มเติมให้นักลงทุนติดตาม

• Strategy Update: Local Investment Outlook Survey for 2024

ทีมกลยุทธ์ KCS ได้จัดทำผลสำรวจความเห็นนักลงทุน 2 กลุ่ม(นักลงทุนสถาบันรวม 56 ท่าน,นักลงทุนบุคคลรวม 168 ท่าน)

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ไต่เส้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มองดูหุ้นไทยไต่เส้น แถว 1370 +/- แบบพยาบามฝ่าด่าน 1380 จุด โดยเช้านี้ พี่ DELTA..

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้