Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KCS Daily Strategy

227

 


Cost beneficiary Plays

 

KCS Daily Strategy : คาดตลาด "Sideways/Up" ต้าน 1423/1427 จุด รับ 1409/1406 จุด ต้นปี 2024 ปีมังกร คาดตลาดหุ้นไทยมีความคาดหวังเชิงบวกจาก Outlook ปี 2024 ที่ประเมิน GDP Growth เติบโต 3.4% มากกว่า ศักยภาพ 3.0%, EPS Growth 2024F ขยายตัว +15.5%y-y ผสานภายในสัปดาห์นี้ความคึกคักของการบริโภคช่วง 45 วันแรกของปี 2024มีโอกาสเร่งจากมาตรการ Easy E-Receipt เริ่ม 1 ม.ค.-15 ก.พ.2024 ผสานรายงานเงินเฟ้อไทยที่จะประกาศวันศุกร์คาดอยู่ระดับต่ำ -0.35%y-y ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายไทยปี 2024 น่าจะทรงตัวหรือมี Downside Risk อาจปรับลง โดยรวมทำให้เชื่อว่าเดือน ม.ค. 2024 มีโอกาสสูงจะเกิด January Effect (SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวกช่วง ม.ค. 7 จาก 10 ปีย้อนหลังเฉลี่ย +1.87%) ส่วนหุ้นนำตลาด คาดกลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค, กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ E-Receipt เด่น วันนี้แนะนำ CPALL, HMPRO, MTC

 

Daily outlook : "Sideways/Up" ต้าน 1423/1427 จุด รับ 1409/1406 จุด

What happened around the world ?

• (*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐสิ้นปี 2023 ปิดลบเล็กน้อย Dow jones -0.05%, S&P500 -0.28% Nasdaq -0.56% โดยดัชนี S&P500 กลุ่มที่นำตลาดคือ Consumer Staples, Health care กลุ่มที่ปรับลงคือ real estate, Consumer Discretionary, ICT ฯลฯ

• (-) Japan Earthquake : ญี่ปุ่นเมื่อวานเผชิญเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.6 ริคเตอร์ (> 7.0 ขึ้นไปถือว่าเป็นระดับรุนแรงสูงสุด) ที่ จ.อิชิกาวะ ทางตอนกลางของฝั่งตะวันตกญี่ปุ่น ห่างจากกรุงโตเกียว 526 กิโลเมตร โดยรัฐประกาศเตือนคลื่นสึนามิสูง 1-5 เมตรตามแนวชายฝั่ง ทำให้มีการสั่งยกเลิกเที่ยวบินและระงับบริการรถไฟบางส่วน KCS มองเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น ประเมินกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวญี่ปุ่นและไทยจำกัด เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง

• (*/+) China - US Relationship : สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันประกาศว่า ทางการจีนจะผ่อนปรนขั้นตอนการขอ VISA ไม่ต้องยื่นเอกสารการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม หรือจดหมายเชิญให้กับนักท่องเที่ยวสหรัฐตั้งแต่ 1 ม.ค.24 เป็นต้นไป KCS ประเมินเป็นสัญญาณบวกเศรษฐกิจจีนในฝั่งภาคการท่องเที่ยวและดุลบริการปี 2024 มีทิศทางดีขึ้นมองบวกต่อหุ้นที่เชื่อมโยงจีน อาทิ SCGP, IVL, PTTGC, DOHOME

• (*/+) China : ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงปราศรัยเนื่องในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่วันที่ 31 ธ.ค.2566 Key สำคัญคือ 1.)การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น และผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้วในปี 2023 แต่ยังมีประเด็นที่ให้น้ำหนักคือ อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาว และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอ 2.) ให้คำมั่นว่าจีนจะกลับไปรวมเป็นหนึ่งกับไต้หวันให้ได้อย่างแน่นอน KCS มองอาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างไต้หวันและจีนสูงขึ้น ก่อนที่ไต้หวันจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ 13 ม.ค.2024 (ล่าสุด Poll สำรวจพบว่า วิลเลียม ไล หรือ ไล่ชิงเต๋อพรรค DPP สนับสนุนไต้หวันออกจากจีน ยังมีคะแนนสูงที่สุดนำ อยู่ที่ 42%%) หากพรรค DPP สามารถชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ คาดจะทำให้ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ประเมินจะเพิ่มกระแสการย้ายฐานการผลิตในประเทศที่ไม่มีความขัดแย้ง อาทิ ไทย มองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น AMATA, WHA

• (*) To monitors : ฝั่งจีน 2 ม.ค. Caixin PMI ภาคการผลิต ธ.ค. ตลาดคาด 50.3 จุด prev. 50.7 จุด 4 ม.ค. Caixin PMI ภาคการบริการ ธ.ค. ตลาดคาด 51.6 จุด prev. 51.5 จุด

• (*) US Bond & Dollar : Bond yields อายุ 10 ปี ปรับขึ้นต่อเป็นวันที่ +4 bps อยู่ที่ 3.88% ส่วน 2 ปี พลิกปรับลง 3 bps อยู่ที่ 4.23% ขณะที่ Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่าบริเวณ 101.0+/- จุด แต่แนวโน้มยังอ่อนค่า

• (*/-) Oil : Brent -0.14%d-d ปิดที่ US$ 77.04/barrel, West Texas -0.17%d-d ปิดที่ US$ 71.65 /barrel

• (*/-) Sugar Price : น้ำตาล -5.42%d-d ปิดที่ 20.58US$/lb (ใกล้ New low ของปี 2023 อีกครั้ง) ทิศทางเป็นขาลงชัดเจนและในเชิง Technical มีโอกาสเปิด Downside ลงมาที่บริเวณ 20$ เนื่องจากทำ low ใหม่อย่างต่อเนื่องประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ประกอบธุรกิจมีต้นทุนเป็นน้ำตาล อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม ICHI, SAPPE, CBG

 

 

What happened in Thailand?

• (*/+) SET: SET ปิดปี 2023 ปรับขึ้น +0.38% ยืนเหนือ 1400 จุดเป็นวันที่ 7 กลุ่มหนุน คือ กลุ่มธนาคาร (BBL, SCB, KBANK) มองรับภาพความคาดหวังเศรษฐกิจไทยปี 2024 ลุ้นฟื้นตัว > ศักยภาพ 3.0% และมีส่วนจากแรงหนุนการเพิ่มน้ำหนักของนักลงทุนต่างชาติ กลุ่มพลังงาน (PTTEP, GULF) กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA) มองจิตวิทยาลบเงินบาทแข็งค่าแบบเร่ง กลุ่มขนส่ง (AOT)

• (+) Flow : เงินทุนต่างชาติไหลเข้า ซื้อหุ้น +116.5 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +76.3 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Longที่ +14,041 สัญญา เงินบาทแข็งค่าเร่งขึ้นสู่ตัว 34.3 +/- บาท

• (*/+) TH Bond: TH Bond Yield 10 ปีแกว่งตัวลงต่อเนื่อง วานนี้มีแตะระดับ 2.67% (vs.กลางสัปดาห์ที่แล้วที่ 2.81% VS. ต้นเดือน ธ.ค. 2.98% และเทียบ Peak สุดของปีช่วงกลางเดือน ต.ค.23 ที่ 3.38%) KCS มอง SET อยู่ในโซน Equity Risk Premium 2023 และปี 2024 ที่ 3.23% และ 4.16% โดย ERP24F สูงระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.09% ขณะที่ทั้งคู่กลับมาสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.06% ลุ้นเม็ดเงินทยอยสลับสู่ SET Index ระยะถัดไปเน้นหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค อาทิ โรงไฟฟ้า BGRIM, GPSC กลุ่มการเงิน SAWAD, MTC, JMT กลุ่ม Growth+เทคโนโลยี INSET, BE8 และกลุ่มหนุนเศรษฐกิจไทยปี 2024 ฟื้นตัว > ศักยภาพ +3.0% ค้าปลีก CPALL ท่องเที่ยว AOTภาคผลิต AMATA, SCGP, PTTGC, IVL ธนาคาร KBANK, SCB

• (*/+)To monitors : 2 ม.ค. ติดตามตัวเลข PMI ผลิตไทย(ไม่มีคาดการณ์) vs prev. 47.6 จุด และ 5 ม.ค. ติดตามเงินเฟ้อCPI เดือน ธ.ค. 23 ตลาดคาด -0.35%y-y vs prev. -0.44%y-y ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน ตลาดคาด +0.6%y-y vs prev. +0.58%y-y KCS ประเมินเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ยังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวที่ 2.5% ตลอดทั้งปี 2024 หรือมี Downside ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC โรงไฟฟ้า BGRIM, GPSC และกลุ่มค้าปลีก CPALL

• (*/+) E-Receipt ติดตามความคึกคักของการบริโภคภายในประเทศที่ช่วง 45 วันแรกของปี 2024 มีโอกาสเร่งตัวชัดเจนจากมาตรการ Easy E-Receipt เริ่ม 1 ม.ค.-15 ก.พ.2024 ของรัฐบาลที่ให้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือผู้ประกอบการทั่วไป ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.24 โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ KCS ประเมินเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่ม 7.0 หมื่นล้านบาท และ GDP ปี 2024 เพิ่ม 0.18% ขณะที่เราประเมินบวกเพิ่มต่อยอดขายสาขาเดิมกลุ่มค้าปลีก 0.3% ทั้งนี้นโยบายดังกล่าว KCS ประเมินจะบวกมากที่สุดต่อกลุ่มที่มียอดขายต่อใบเสร็จสูง อาทิ CPAXT, CRC, HMPRO และสาขาครอบคลุม CPALL

(*) SET 50/100 Free Float Adjusted Market Cap: 1 ม.ค. 24 ตลาดหลักทรัพย์เริ่มใช้ดัชนีใหม่SET50 และ SET100 Free Float Adjusted Market Capitalization Weighted Index หรือ SET50FF และ SET100FF สำหรับเป็นทางเลือกในการใช้เป็นดัชนีอ้างอิง (Benchmark) ของกองทุนเพิ่มเติมจากดัชนี SET50 และดัชนี SET100 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประเมินการเข้ามาของดัชนีใหม่อาจทำให้กองทุนบางส่วนซึ่งใช้ SET50 และ SET100 เดิม เปลี่ยนมาใช้ดัชนีใหม่เป็น Benchmark แทน KCS ประเมิน ผลกระทบด้านบวก 1. หุ้นใน SET50 ที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักสูงสุด 5 อันดับแรก คำนวณ ณ ราคาปิดวันที่ 26 ธ.ค. ได้แก่ BBL (+202 ถึง +807 ลบ.), KBANK (+141 ถึง +564 ลบ.), BDMS (+140 ถึง +559 ลบ.), SCB (+140 ถึง +558 ลบ.) และ SCC (+97 ถึง +386 ลบ.) ผลกระทบด้านลบ หุ้นใน SET50 เดิม ที่มีโอกาสถูกลดน้ำหนักสูงสุด 5 อันดับแรก คำนวณ ณ ราคาปิดวันที่ 26 ธ.ค. ได้แก่ DELTA (-363 ถึง -1454 ลบ.), AOT (-175 ถึง -703 ลบ.), GULF (-133 ถึง -535 ลบ.), ADVANC (-82 ถึง -329 ลบ.) และ PTTEP (-82 ถึง -329 ลบ.)

 

Daily Strategy : CPALL, HMPRO, MTC

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideway/Up" มอง SET วันนี้แกว่งขึ้นได้ แรงหนุนหลักมาจากความเชื่อมั่นต่อวงจรดอกเบี้ยโลกและไทยขาลง ประเมินเปิดต้นปีใหม่ ปัจจัยบวกจากภายในยังสนับสนุนทั้งคาดหวังเชิงบวกเศรษฐกิจไทยปี 2024F เติบโต >3.0% กำไรตลาด +15.5% และการบริโภคภายในคาดมีปัจจัยหนุนจากมาตรการ Easy E-Receipt เริ่ม 1 ม.ค.-15 ก.พ.2024 มองหุ้นนำ 1) กลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค วงจรดอกเบี้ยสู่ขาลง อาทิ โรงไฟฟ้า GPSC, BGRIM เทคฯ+Growth BE8, INSET เช่าซื้อ SAWAD, MTC, JMT กลุ่มหนี้สูง MINT, TRUE 2) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ E-Receipt เริ่มมีผลแล้ว CPAXT, CRC, HMPRO และ CPALL

 

หุ้นได้รับประโยชน์มาตรการฟรี วีซ่าจีน รัสเซีย ไต้หวัน อินเดีย (CPALL, CPAXT, ERW, ADVANC, ERW, CRC)
หุ้นกลุ่มเก็งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ Digiial Wallet+E-Refund, เร่ง FDI และ สร้าง S Curve จาก Soft Power (CPALL, CPAXT, CRC, DOHOME, GLOBAL, ADVANC, WHA, AMATA, MAJOR)
หุ้น China Plays ที่เริ่มเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแรงขึ้นและเริ่มเห็นการฟื้นตัวภายใน (PTTGC, IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, ERW)
หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกเริ่มฟื้น และพอประคองได้ (KCE, IVL, SCGP, PTTGC, SJWD, MENA, WICE)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC ,SAWAD, JMT, CPALL, TRUE, MINT, ERW, CK, BGRIM)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์น้ำมันแกว่ง 75-80 เหรียญฯ ภายใต้ภาพความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มโตแผ่ว จีนค่อยๆฟื้นตัว ขณะที่การคุมซัพพลายต่อเนื่อง (CPALL, CPAXT, SCGP, GULF, IVL)
• JAN24 Best Picks: CPALL, HMPRO, GPSC, IVL, MINT, MTC, SIRI

• 1Q24/2024 Stock Picks : GPSC, MTC, IVL, PTTGC, CPALL, AOT, AMATA, SCGP, SCC, MINT Mid-Small Cap Play : SJWD, DOHOME, BE8, SPA, PLANB

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

• Strategy Update: KCS คาด ม.ค. 24 มีโอกาสเกิดปรากฎการณ์ January Effect หนุน SET ให้ผลตอบแทนทางบวก 7 จาก 10 ปีย้อนหลังจากการซื้อและถือหุ้นเดือน ม.ค. โดย SET, SET50 และ MAI ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.28%, +1.1% และ +2.59% ตามลำดับ มอง 3 เหตุผลหลัก 1) ช่วงเดือน ธ.ค. 23 เม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติขาย SET สูงถึง -4.17 พันล้านบาท และทั้งปี 2023 มากถึง -1.964 แสนล้านบาท (vs ส่วนที่ซื้อในปี 2022 ที่ +2.0 แสนล้านบาท) 2) ความคาดหวังเชิงบวกในช่วงต้นปีต่อเศรษฐกิจไทยปี 2024 ที่จะกลับมาเติบโต > ศักยภาพ 3.0% กำไรตลาดปี 2024F +15.5%y-y ทั้งนี้ ในส่วนเม็ดเงินกองทุน LTF ปี 2017 แม้ประเมินมีส่วนที่ครบกำหนดขายได้โดยไม่เสียภาษีราว 1.0 หมื่นล้านบาท แต่มองกรอบ SET ช่วงปี 2017 ที่ 1527-1764 จุด สูงกว่าระดับปัจจุบัน เชื่อว่าจะมีแรงขายจำกัด

กลยุทธ์ ให้เน้นหุ้นในอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ม.ค. > SET คือ กลุ่มเกษตร TU กลุ่มเช่าซื้อ MTC, JMT กลุ่มธนาคาร KBANK กลุ่มสื่อสาร INTUCH, INSET กลุ่มขนส่ง AOT ส่วน MAI เรามองควรเน้นกลุ่มที่คาดหวังกำไรปี 2024F เติบโตสูง GFC (2024F EPS Growth +46%), BBIK(+40%), BE8(+38%), YGG(+33%),WARRIX(+26%), KLINIQ(+16%)

• Strategy Update: KCS พิจารณาความเป็นไปได้ถึงความเสี่ยง Black Swans ในปี 2024 คือความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำแต่หากเกิดแล้วจะมีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั้งบวกและลบ

1) ความเสี่ยงทางลบ

• Cyber-attacks with AI (-): AI ที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะการใช้ AI ในสาย Generative AI ฝ่าย KCS เชื่อว่ามีโอกาสเห็นการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการพัฒนาระบบการจารกรรมข้อมูลโดยประเทศคู่ขัดแย้ง

• Weather Disasters (-):ข้อมูลของสหประชาติ ปี 2023 โลกมีระดับอุณหภูมิสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์จากภาวะโลกร้อน สภาวะดังกล่าวมีโอกาสก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติได้บ่อยครั้งขึ้น

2) ความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม

• Taiwan (*):จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน ม.ค.24 ซึ่งผลการเลือกตั้งจะกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไต้หวันกับจีนและสหรัฐ เชื่อว่าหากฝ่ายที่สนับสนุนจีนสามารถรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลได้จะสร้างผลเชิงบวกต่อภาพตลาดการเงินโลก แต่หากฝั่งต่อต้านจีนครองเสียงข้างมากต้องติดตามแนวนโยบายว่ามีโอกาสข้ามเส้นที่จีนขีดไว้ ?

• Inflation to Deflation (*): เงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลงในปี 2023 จากการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว นำโดยสหรัฐ, ยุโรป ส่งผลให้วงจรดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นเข้าสู่ปลายทางแล้วในช่วง 4Q23 อย่างไรก็ตามนับจากนี้ไป Fed จะเป็นตัวกำหนดภาพเงินเฟ้อปีหน้า หากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้าเกินไปและเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าหรือชะลอลง มีโอกาสที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะประสบภาวะเงินฝืด ขณะที่หากผ่อนคลายเร็วเกินไป มีความเสี่ยงทำให้เกิดภาพเงินเฟ้อลดลงสู่กรอบเป้าหมายธนาคารกลางต่างๆ ช้ากว่าความคาดหวัง จะส่งผลต่อภาพความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยง เศรษฐกิจระยะกลางจะมีความเสี่ยง จากวงจรดอกเบี้ยเข้มงวดอีกรอบ

• U.S. Election (*): การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2024 มีโอกาสสร้างความเสี่ยง เนื่องจากผลการเลือกตั้งเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดหลายปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลก ทั้ง 1) แนวทางนโยบายการคลัง/การเงินสหรัฐ 2) ทิศทางความสัมพันธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีน 3) แนวทางของสหรัฐในการแทรกแทรงความขัดแย้งของคู่ขัดแย้งสำคัญของโลก อาทิ รัสเซีย/ยูเครน, อิสราเอล/กลุ่มฮามาส

3) ความเสี่ยงที่จะสร้าง Upside Risk ต่อสินทรัพย์เสี่ยง

• India/China Global Recovery (+): จีนประสบปัญหาเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาดประกอบกับปัญหาเงินฝืดในปี 2023 ต่างจากประเทศเศรษฐกิจใหญ่อื่นที่เป็นภาพฟื้นตัวและประสบกับปัญหาเงินเฟ้อ ในขณะที่อินเดียเป็นประเทศที่เติบโตเร็วและเงินเฟ้อสูงแต่โครงสร้างเศรษฐกิจยังค่อนข้างเปราะบาง ฝ่ายวิจัยมองว่าหากจีนและอินเดียสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์จะสะท้อนภาพเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก

 

〽️Strategy : KCS มองภาพเศรษฐกิจโลกและตลาดเงินโลกเป็นเชิงบวกในปี 2024 จากเงินเฟ้อที่ชะลอลง ประกอบกับวงจรนโยบายดอกเบี้ยที่จะกลับเป็นขาลง และเศรษฐกิจจีนที่เชื่อว่าเร่งฟื้นตัว หลังจากหลากหลายสัญญาณทยอยปรากฎเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม มีหลากหลายปัจจัยที่อาจเป็น Black Swans และส่งผลกระทบที่ตลาดไม่คาดคิดต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินได้ จึงเป็นที่มาที่ทีมกลยุทธ์ KCS รวบรวมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ดังกล่าวเพิ่มเติมให้นักลงทุนติดตาม

• Strategy Update: Local Investment Outlook Survey for 2024

ทีมกลยุทธ์ KCS ได้จัดทำผลสำรวจความเห็นนักลงทุน 2 กลุ่ม(นักลงทุนสถาบันรวม 56 ท่าน,นักลงทุนบุคคลรวม 168 ท่าน)

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

น้ำขึ้นให้รีบตัก By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดบวก หุ้นขึ้น วันนี้ น้ำขึ้นให้รีบตัก หรือเทขายกำไรไว้ก่อน ด้วยพรุ่งนี้ ตลาดเรา ...........

งบท่องเที่ยว By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ยังคงแกว่งตัว ในกรอบแคบๆ ส่วนการเก็งกำไรนั้น หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว....

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้