เห็นความหวังที่เม็ดเงินลงทุนจะกลับมา
BOND YIELD สหรัฐ ยังปรับลดลงต่อเนื่อง หลังจากที่มีความชัดเจนว่า FEDน่าจะปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2567 ผลดังกล่าวทำให้USD อ่อนค่าซึ่งในทางตรงข้ามก็มีผลทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ภาวะดังกล่าวมีโอกาสที่จะเห็น FUND FLOW ต่างชาติ ไหลเข้าบ้านเรา ซึ่งน่าจะทำให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยสูงขึ้น อีกมุมหนึ่งประเมินว่าจะเห็นเม็ดเงิน THAILANDESG FUND ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป สำหรับประเด็นทางเศรษฐกิจล่าสุด WORLD BANK คาดหมาย GDP GROWTH ปี2567 ของบ้านเรา ภายใต้สมมุติฐานว่าไม่มีDIGITAL WALLET อยู่ที่ 3.2%เท่ากับที่ ธปท. ได้คาดการณ์ไว้ สะท้อนภาพการฟื้นตัวต่อเนี่องของเศรษฐกิจไทยส่วนประเด็นยังไม่ช้ดเจน และต้องติดตาม เป็นเรื่องท่าทีของกระทรวงการคลังในเรื่อง PROGRAM TRADE ซึ่งล่าสุดได้ให้ กลต. ศึกษาว่าควรยกเลิก หรือไม่การฟื้นตัวของ SET INDEX วานนี้ ทำให้สัญญาณ TECHNICAL ออกมาในทางบวกมากขึ้น เป็นไปได้ที่จะเห็น MOMENTUM ต่อ แต่ก็ยังไม่พ้นช่วงผันผวนคาดกรอบวันนี้ 1368 – 1387 จุด หุ้น TOP PICK เลือก KBANK, MAJOR และPLANB

ECB –BOE – FED พร้อมใจกันคงดอกเบี้ยตามคาดหนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงระยะถัดไป
หลังจากที่ FED มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50%(รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ในบทวิเคราะห์ MARKET TALK ประจำวันที่ 14 ธ.ค.66) วานนี้ก็มีการประชุมของ ECB และ BOE ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% และ 4.25%ตามลำดับ จึงทำให้ตลาดคาดว่าวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยสิ้นสุดลงแล้ว และเริ่มเข้าสู่วัฎจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1Q67 ซึ่ง BLOOMBERG CONSENSUS คาดว่าFED จะเริ่มลดดอกเบี้ยเดือน มี.ค.67 ส่วน ECB - BOE จะเริ่มลดดอกเบี้ยเดือนเม.ย.67

โดยประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ BOND YIELD 10 ปีสหรัฐปรับตัวลงแรง หลุด 4.0%และกดดัน DOLLAR INDEX อ่อนค่าต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ระดับ 101.96 จุด ขณะที่BOND YIELD 10 ปีไทยก็ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน โดยล่าสุดอยู่ระดับ 2.78% แต่ลดลงน้อยกว่าสหรัฐฯมากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

และหนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั้ง ราคาน้ำมันดิบ BRENT +3% และตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องราว 0.3% - 0.5% ส่วนเช้านี้ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียก็ได้รับSENTIMENT เชิงบวกเช่นกัน อาทิ ญี่ปุ่น +1.1% เกาหลีใต้ +1.1% เป็นต้น ซึ่งปัจจัยหลัก คือ FLOW ต่างชาติที่ทยอยไหลเข้าตลาดหุ้นแถบเอเชีย โดยตั้งแต่ต้นเดือน(MTD)ต่างชาติซื้อสุทธิ ไต้หวัน 1.2 พันล้านเหรียญฯ เกาหลีใต้ 660 ล้านเหรียญฯ ฟิลิปปินส์17 ล้านเหรียญฯ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยแม้ถูกขายสุทธิ 79 ล้านเหรียญฯ(MTD) แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีเล็กๆ จากที่วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.5 พันล้านบาท(เป็นการซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบ 6 วัน) และค่าเงินบาทที่แข็งค่าแรงหลุด 35 บาท/เหรียญฯ

สรุป ECB – BOE – FED พร้อมใจกันคงดอกเบี้ยตามคาด หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงระยะถัดไป รวมถึงไทยที่คาดได้ประโยชน์เช่นเดียวกัน สังเกตได้จากค่าเงินบาทที่ทยอยแข็งค่าหลุด 35 บาท/เหรียญฯ โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX 1368 -1387 จุด
พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางโตต่อเนื่องวานนี้ WORLD BANK เผยรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย (THAILAND ECONOMICMONITOR) ล่าสุด ฉบับเดือน ธ.ค. 2566 โดยได้ปรับประมาณการ GDP GROWTHไทยในปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ +2.5%YOY (เดิมคาด 3.9%) หลังเศรษฐกิจ 3Q66อ่อนแอ ซึ่งอาจขยายตัวต่ำกว่าปีก่อนที่ 2.6%YOYสำหรับประมาณการ GDP GROWTH ไทยในปี 2567 และ 2568 GDP คาดว่าจะโต3.2%YOY และ 3.1%YOY ตามลำดับ โดยมีแรงผลักจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น บวกกับการส่งออกจะมีแนวโนมที่ดีขึ้น ซึ่งการขยายตัวถือว่าเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจต่างๆ

นอกจากนี้ WORLD BANK ยังได้ประเมินโครงการ DIGITAL WALLET ว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 0.5-1.0% ในระยะสั้นช่วง 2 ปีซึ่งเชื่อว่าจะหนุนให้ GDPGROWTH ไทยในปีหน้าอยู่ที่ 3.6 – 3.9%YOY ขณะที่ระยะยาวอาจสร้างต้นทุนการคลังมากขึ้น โดยคาดว่าจะดันให้หนี้สาธารณะต่อ พุ่งแตะ 65-66% ในปี 2567-68อย่างไรก็ตาม ทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ไม่มีโครงการ DIGITAL WALLET โดยสำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ GDPGROWTH บ้านเราเฉลี่ยปี 67 อยู่ที่ 3.3%YOY ซึ่งมีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในปี
นี้ที่ 2.6%YOY อีกทั้งเศรฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัวได้สูงกว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่มีการขยายตัวเฉลี่ยเพียง 1.9%

สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังมีทิศทางโตต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่มีโครงการDIGITAL WALLET แต่ยังมีแรงผลักจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น บวกกับการส่งออกจะมีแนวโนมที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยหนุนให้พื้นฐานในภาพใหญ่ของบ้านเราดูน่าสนใจในการลงทุน

ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า พร้อมกับหวัง FUND FLOW สลับมาซื้อหุ้นไทยต่อ
วานนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงเร็วถึง 2.18% มาอยู่ที่ 34.76 บาท/เหรียญ ซึ่งเป็นการแข็งค่ามากที่สุดในเอเชีย รองลงมาคือ เกาหลีวอนแข็งค่า 1.91%, อินโดฯลูเปีย 1.05%,จีนหยวน 0.83% และค่าเงินประเทศอื่นๆ

นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนต่าง BOND YIELD10 ปี สหรัฐกับไทย เทียบกับค่าเงินบาท พบว่า มีทิศทางที่สอดคล้องกัน(COLLERATION 0.7) คือ ถ้าส่วนต่าง BOND YIELD 10 ปีสหรัฐกับไทย (BONDYIELD 10 ปี ของ สหรัฐ ลบ ไทย) แคบลง เป็นตัวช่วยเร่งให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเสมอ

ดังนั้นแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินของธปท.ที่มีมุมมองคงดอกเบี้ยต่อเนื่อง ต่างกับFED ที่อาจลดดอกเบี้ยในปีหน้า 3 ครั้ง และปีถัดไป 2 ครั้ง หนุนให้ส่วนต่าง BONDYIELD 10 ปีสหรัฐกับไทย มีแนวโน้มแคบลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าเช่นกันหนุนให้ FUND FLOW ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามาในตลาดตลาดหุ้นไทยต่อ เพราะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม หลังจากที่วานนี้ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย3.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในวันเดียวที่สูงสุดเป็นอันดับ 7 ของปประเด็นดังกล่าว คาดหนุนให้ SET INDEX มีแน้วโน้มฟื้นตัวต่อได้ โดยหุ้นเด่นแนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากค่าเนบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะถัดไป

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์