Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: NCL ปักหมุดรายได้ปี65 โต50-60% พร้อมวางยุทธศาสตร์เสริมความมั่นคง / ALPHAX พร้อมเต็มสูบ เจ้าแรกในไทยผลิตสารสกัดกัญชง คาดโกยกว่า 450 ลบ.

3,036

 

 

 

***NCL ตั้งเป้ารายได้ปี65 โต50-60% จากปีก่อน***

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (14 มีนาคม 2565)——ผู้บริหาร NCL "พงษ์เทพ วิชัยกุล" เผยในงาน Opportunity Day วางยุทธศาสตร์เสริมความมั่นคงใช้โมเดลธุรกิจแบบ "Asset light" เสริมศักยภาพสร้างรายได้ให้มั่นคง พร้อมขยายโกดังสินค้าจากเดิมขนาด 700 ตารางเมตร เป็น 3,500 ตารางเมตร รองรับการพักสินค้าและสยายปีกลุยธุรกิจดิจิตอล หวังลดต้นทุนการดำเนินงาน ช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจการขนส่ง

 

นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนที่นำเสนอผ่านระบบ VDO Conference ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันนี้ (14 มี.ค.65) ว่าผลประกอบการในปี 2564 บริษัทฯ พลิกมีกำไรสุทธิ 111.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 526 % จากปีก่อนที่ขาดทุน 26.07 ล้านบาท หลังได้รับปัจจัยบวกจากค่าระวางเรือที่สูงขึ้นและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้รายได้เติบโตมากกว่าเท่าตัว ประกอบกับมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่บรรเทาลง ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผู้บริโภคลดการจับจ่ายในช่วงก่อนหน้า

"เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วกลับมาฟื้นตัวผลักดันการผลิตให้กลับมาขยายตัวอย่างมาก สังเกตได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่สูงถึง 54.2 หน่วย หลังจากลงไปจุดต่ำสุดกว่า 40 หน่วย ในช่วงการปิดเมือง ประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังไม่แข็งค่าเมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นตัวหนุนความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตกว่าร้อยละ 25 เทียบกับปีก่อน" นายพงษ์เทพ กล่าว

ส่วนในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นว่าผลประการจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50-60% จากปี 2564 เนื่องจากบริษัทฯ คาดว่าอุตสาหกรรมขนส่งของไทยยังจะเติบโตต่อเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิดที่เริ่มบรรเทาลงส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศปรับตัวดีขึ้น,การบังคับใช้ RCEP ที่เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค.2565 ทำให้การนำเข้าส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 14 ประเทศคล่องตัวมากขึ้น,ปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่มีความล่าช้าและเปราะบางส่งผลต่อค่าระวางเรือที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมขนส่งของประเทศไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงภายนอกหลายประการเช่น สงครามทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ,อัตราเงินเฟ้อจากประเทศคู่ค้าที่อาจจะส่งต่อผ่านสินค้าต่างๆ หรือปัญหาการแข่งขันเชิงราคาหลังจากที่ค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ มีความได้เปรียบด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สะสมมากว่า 28 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าประจำที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการใช้โมเดลธุรกิจแบบ Asset light ทำให้มีความคล่องตัวและไม่เกิดต้นทุนจมโดยไม่จำเป็น

นายพงษ์เทพ กล่าวต่อไปว่าในปี 2565 บริษัทฯ มีกลยุทธ์การดำเนินงานหลัก ดังนี้ 1.ขยายความสามารถในการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งมุ่งเน้นขยายการให้บริการในธุรกิจหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการขนส่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยกลยุทธ์ในการขยายองค์กรประกอบด้วย การเพิ่มเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรือต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับลูกค้าขนส่งระหว่างประเทศ การเพิ่มปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ การพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งหน้าเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เท่าทันยุคดิจิตอลด้วยเครื่องมือต่างๆ

2.ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังธุรกิจการให้เช่าคลังสินค้าพร้อมบริการจัดส่ง โดยบริษัทฯ ต่อยอดธุรกิจโกดังสินค้าด้วยการให้บริการ Fulfillment center หรือศูนย์รวมสินค้าที่ทำหน้าที่รับสินค้าจากธุรกิจขนส่งที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ให้บริการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าอย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโกดังสินค้าขนาด 700 ตารางเมตร เพื่อรองรับการพักสินค้าและมีแผนจะขยายเป็น 3,500 ตารางเมตรในปี 2565 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจาเป็นพันธมิตรกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบจัดการสินค้าในโกดังเก็บสินค้าเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจัดการต่างๆ โดยวางงบลงทุนไว้ราว 30ล้านบาท และคาดว่าการร่วมมือจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2565

และ3.บริษัทฯ เสริมความมั่นคงของการดำเนินงานด้วยธุรกิจใหม่ ด้วยเล็งเห็นถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของอุตสหกรรมขนส่งและเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นการเข้าลงทุนในธุรกิจดิจิตอลจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เข้ามาหนุนการเติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงอีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจการขนส่งได้เป็นอย่างดี

 


*** ALPHAX ประกาศความพร้อมเป็นเจ้าแรกของไทย
ผลิตสารสกัดกัญชงป้อนออเดอร์ลูกค้า***

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(14 มีนาคม 2565)--ALPHAX ประกาศความพร้อมลุยผลิตสารสกัดกัญชงเจ้าแรกของประเทศไทยป้อนออเดอร์ลูกค้า หลัง JP คว้าใบอนุญาตสกัดจาก อย. ฟากผู้บริหาร "ธีร ชุติวราภรณ์" การันตีวัตถุดิบเพียงพอสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ส่งออเดอร์เข้ามาจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องสำอาง , อาหารเสริม , อาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงกลุ่มยา เผยที่ผ่านมาจับมือพันธมิตรต้นน้ำทั้งในและนอกตลาดฯ รองรับแผนอัพกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 100 เท่าในช่วงไตรมาส 3/65 คาดปีนี้กวาดรายได้จากธุรกิจกัญชงกัญชาไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท

 

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (ALPHAX) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯได้มีการขยายไลน์ธุรกิจเพิ่มเติมจากของเดิมที่มีอยู่คืออสังหาริมทรัพย์ ในปีที่ผ่านมาได้รุกสู่ธุรกิจกัญชงกัญชา และ Fin-Tech เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ล่าสุดในส่วนของธุรกิจกัญชงกัญชา บริษัทฯถือเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ อย่างครบวงจร เริ่มต้นตั้งแต่การลงทุนผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท อัลฟ่า ไบโอเทค จำกัด ซึ่งร่วมกับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JP) ในฐานะผู้รับจ้างผลิต รวมถึงบริษัทฯได้สั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิต โดยเน้นการจัดจำหน่าย สารสกัด และเคมีภัณฑ์

โดยลูกค้าหลักเป็นกลุ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพร รวมถึงยาแผนปัจจุบัน ซึ่งในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ได้รับใบอนุญาตผลิตสารกลุ่ม Cannabidiol หรือ CBD จากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะผลิตสารสกัดให้กับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสารสกัด ที่ได้ส่งคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยพร้อมส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 นี้ และจะรับรู้รายได้เข้ามาทันทีในไตรมาส 1/65

"ALPHAX กล้าที่จะบอกว่าเราคือ บริษัทจดทะเบียนรายแรกของประเทศไทยที่คุมปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ เพราะได้จับมือกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งอย่าง JP อีกทั้งยังได้ทำสัญญาความร่วมมือกับผู้ปลูกกัญชง ทั้งในส่วนของวิสาหกิจชุมชนต่างๆ ผู้ประกอบการทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเป็นการันตีว่า เรามีวัตถุดิบเพียงพอ สำหรับป้อนโรงงานสกัด เพียงพอสำหรับออเดอร์ของลูกค้าที่มีเข้ามาจำนวนมาก ในส่วนของธุรกิจปลายน้ำได้มีการจับมือผู้ประกอบการที่ต้องการนำสารสกัด CBD ไปใช้สำหรับผลิตอาหาร เครื่องดื่ม อาหารเสริม สมุนไพร โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่ทำสัญญากับบริษัทแล้วประมาณ 35 ราย "

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีพันธมิตรทั้งในด้านของต้นน้ำ เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลท.ที่มีความเชี่ยวชาญในการปลูก เช่น บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) (SUN) และบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB รวมทั้งได้ทำบันทึกความเข้าใจกับวิสาหกิจชุมชุนหลายแห่ง ทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในส่วนของภาคเหนือ ล่าสุดได้มีการจับมือกับบริษัท เอ็ม เจ บี จำกัด (MJB) ที่พร้อมป้อนวัตถุดิบให้กับบริษัทฯประมาณ 1 ตัน ได้ในทันที

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ALPHAX กล่าวอีกว่า หลังจากที่บริษัทฯได้รับเงินจากการเพิ่มทุนที่เกิดจากการแปลงสภาพวอร์แรนต์เข้ามาประมาณ 600 ล้านบาท ทำให้มีศักยภาพเพียงพอสำหรับการเดินหน้าขยายธุรกิจ โดยในส่วนของธุรกิจกัญชงกัญชา บริษัทฯเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตอีก 100 เท่า โดยได้มีการสั่งซื้อเครื่องจักรแล้ว ซึ่งมีศักยภาพในการป้อนวัตถุดิบ 30,000 กิโลกรัม (30 ตัน) ต่อเดือน มีกำหนดเดินเครื่องผลิตในช่วงไตรมาส 3/65 ทำให้คาดว่าในปี 2565 จะมีรายได้จากธุรกิจกัญชงกัญชาประมาณ 450 ล้านบาท ผลักดันผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

---จบ---

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้